แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ trading system แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ trading system แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ The New Concepts In Technical Trading Systems

หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่คุณมดแนะนำให้อ่านเพื่อเติมเต็มการ trade แบบ Trend following ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ซึ้งคุณมดก็ได้ให้ link ไว้ด้วย


นี่คือ link download หนังสือเล่มนี้นะครับ ถ้า link มีปัญหายังไงก็ comment มาให้ผมก็ได้นะครับ เดี๊ยวจะส่งไปให้

ผมว่าสิ่งที่เป็นตัวแปลในการ Trade แบบ trend following คือ directional movement เมื่อใดที่กราฟออกไปเป็น sideway เราจะคืนกำไร แล้วเมื่อไหร่ละที่เราจะตัดสินใจว่า ตลาดกำลังมี Trend แล้วนะ ซึ่งในหนังสือที่เล่มนี้ก็ได้อธิบายเอาไว้ ซึ่งจะทำให้เราสามารถทำการ Trade ได้ดีขึ้น เดี๊ยวเราลองมาดู Review ที่คุณมดเขียนไว้ให้ แล้วก็ว่างๆ ผมจะแปล เก็บไว้ในคลัง blogger นี่นะครับ

หนังสือหุ้นน่าอ่าน : The New Concepts In Technical Trading Systems

“แนวคิดและระบบการลงทุนต่างๆที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้นั้น คือผลของการศึกษาวิจัยตลาดเป็นเวลานานหลายปี แนวทางการปฏิบัติต่างๆนั้นอยู่ใสขอบข่ายการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค และผลลัพธ์ของมันก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน จุดประสงค์ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อความสนุกในการอ่าน แต่เพื่อช่วยเป็นเครื่องมือและดัชนีชี้วัดให้กับผู้อ่านเพื่อใช้กับการเก็งกำไรในตลาดต่างๆ ไม่มีส่วนใดในหนังสือเล่มนี้ ที่อ้างอิงแนวคิดจากผลงานของผู้เขียนท่านอื่นๆ สิ่งที่คุณจะได้พบในหนังสือเล่มนี้นั้น คือผลงานต้นแบบชิ้นแรกในตัวของมันเอง”

Welles J. Wilder Jr.

แนะนำหนังสือหุ้น การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค วิธีการเล่นหุ้น

นี่คือคำนำที่ Welles Wilder ได้เขียนไว้ในหนังสือหุ้น The New Concepts In Technical Trading Systems ของเขาตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายนปี 1978 ครับ และผมคิดว่านี่น่าจะเป็นคำแนะนำหนังสือหุ้นเล่มนี้ที่ดีที่สุดที่ผมจะเขียน โดยปกติแล้วที่ผ่านๆมา ผมจะบรรยายไปเรื่อยว่าหนังสือหุ้นเล่มไหนเป็นอย่างไรๆ แต่สำหรับหนังสือหุ้นเล่มนี้ ผมคิดว่าเป็นหนังสือหุ้นเล่มที่คลาสสิคมากๆเล่มหนึ่ง ใครที่คิดจะใช้กราฟในการเก็งกำไรควรที่จะต้องมีเก็บไว้อ่านทุกๆคนอยู่แล้ว ดังนั้น ผมจึงทำการแปลบทนำส่วนหนึ่งที่ Wilder ได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้มาให้อ่านกันแทนนะครับ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์พอสมควรเลยทีเดียวครับ

แนะนำหนังสือหุ้น การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค วิธีการเล่นหุ้น

จิ๊กซอว์ที่หายไปของระบบการลงทุนทางเทคนิคส่วนใหญ่

แผนการเก็งกำไรโดยใช้ Technical Analysis โดยส่วนใหญ่นั้น จะประกอบด้วยสองส่วนใหญ่ๆ นั่นกีคือ

1.ระบบการลงทุนที่อิงกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค

2.รูปแบบและเทคนิคการบริหารเงินทุน

ระบบการลงทุนที่อิงกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคส่วนใหญ่นั้น มักจะอยู่ในรูปแบบของ Trend-Following และผมเชื่อว่าระบบที่เป็น Trend Following นั้น คือแนวทางที่จะสร้างกำไรได้มากที่สุดเมื่อตลาดนั้นมีแนวโน้ม อย่างไรก็ตาม แนวทางแบบ Trend-Following นั้น ก็มักที่จะเกิดการคืนกำไรอย่างมากให้กับตลาด เมื่อตลาดได้เปลี่ยนแปลงเข้าสู่การเคลื่อนไหวแบบออกข้างหรือ Sideway

รูปแบบสไตล์การลงทุนแบบ Anti-Trend นั้น ก็มักที่จะทำกำไรได้ดีที่สุดเมื่อตลาดเข้าสู่ช่วง Sideway หรือในขณะที่ตลาดไม่มีแนวโน้ม อย่างไรก็ตาม กำไรที่ได้มาแต่ละครั้งนั้น มักจะน้อยกว่ารูปแบบแรก เนื่องจากมันทำการซื้อขายบ่อยครั้งกว่า และค่าคอมมิสชั่นจึงกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญของต้นทุน และเมื่อไหร่ที่ตลาดได้เปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหวเข้าสู่ช่วงที่เป็นแนวโน้มนั้น ระบบการลงทุนแบบ Anti-Trend ก็มักที่จะไม่สามารถทำกำไรได้เช่นกัน

แนะนำหนังสือหุ้น การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค วิธีการเล่นหุ้น

welleswilder-150x150ในเวลาหลายๆปีที่ผ่านมา ผมได้ใช้เวลาไปอย่างมากมาย ในการที่จะพัฒนาและวิเคราะห์ถึงแนวคิดและเครื่องมือทางเทคนิคต่างๆ แต่ผมก็ยังไม่สามารถค้นพบระบบหรือเครื่องมือทางเทคนิค ที่สามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอในทุกๆรูปแบบการเคลื่อนไหวของตลาดอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น คำตอบหนึ่งจึงอยู่ที่การจัดระดับ Rating Scale ในแต่หุ้นแต่ละตัวหรือตลาดแต่ละตลาด เพื่อที่นักเก็งกำไรจะสามารถบ่งชี้ได้ว่า ตลาดในขณะนั้นกำลังอยู่ในช่วงที่ไม่มีแนวโน้ม หรือมีแนวโน้มขึ้นมาโดยแนวคิดนี้นั้นจะถูกอธิบายไว้อย่างละเอียดในบทที่ 4 นั่นก็คือ The Directional Movement Index

ยังมีองค์ประกอบต่างๆอีกหลายอย่างที่คุณควรจะนำมาพิจารณาร่วมกัน การเคลื่อนไหวของตลาดที่เป็น “แนวโน้ม” ที่มักจะให้กำไรสูงที่สุดนั้น มักจะเกิดขึ้นในตลาดที่มีความผันผวนสูงที่สุด(Volatile) นั่นก็คือ ตลาดที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วที่สุด และแนวคิดนี้ ก็ได้ถูกอธิบายไว้อย่างละเอียดเช่นกันในบทที่ 3 ชื่อ The Volatility Index นั่นเอง

แน่นอนว่า คุณควรที่จะต้องนำ Margin Requirement และค่า Commission มาพิจารณาอีกด้วย

แนะนำหนังสือหุ้น การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค วิธีการเล่นหุ้น

ปัจจัยทั้ง 4 อย่างที่ได้พูดถึงนั้น เราสามารถที่จะนำมาถ่วงน้ำหนักอย่างเหมาะสมได้ด้วย The Commodity Selection Index(CSI) เช่นกัน ซึ่งได้ถูกอธิบายไว้แล้วในบทที่ 9 โดยที่ Commodities ที่ให้ค่าสูงที่สุดใน CSI Scale นั้นจะหมายถึง

1)มีค่า Directional Movement ที่สูง

2)มีค่า Volatility หรือความผันผวนสูง

3)มี Margin Requirements ที่เป็นเหตุเป็นผลสำพันธ์กับ Volatility และ Directional Movement

4)มีค่า Commission ที่เหมาะสม

แนะนำหนังสือหุ้น การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค วิธีการเล่นหุ้น

ดังนั้น จิ้กซอว์ที่หายไปของระบบการลงทุนที่อิงการวิเคราะห์ทางเทคนิคส่วนใหญ่นั้นก็คือ แนวคิดและวิธีการที่จะช่วยให้เราสามารถประเมินและตัดสินใจได้ว่า หุ้นหรือสินค้า Commodities ที่อยู่ในตลาด “ตัวใด”(Which) นั้น สมควรที่จะเข้าเทรดเมื่อเกิดสัญญาณซื้อ-ขายที่สุดนั่นเอง และคำตอบเหล่านี้ก็จะอยู่ที่บทของ The Commodity Selection Index นั่นเอง

แนะนำหนังสือหุ้น การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค วิธีการเล่นหุ้น

และนี่ก็เป็นบทนำที่น่าจะช่วยให้ตัดสินใจได้ว่า เราควรจะหาหนังสือหุ้นเล่มนี้มาอ่านอย่างละเอียดดีหรือไม่นะครับ ตัดสินใจกันเอาเอง สิ่งที่เป็นจุดเด่นของหนังสือหุ้นเล่มนี้สำหรับผมแล้ว คือมันสอนแนวคิดและพาเราทำการคำนวณค่าดัชนีต่างๆออกมาพร้อมๆกันไปเรื่อยๆ ซึ่งมักจะหาไม่ได้จากเล่มอื่นๆครับ อีกทั้งระบบต่างๆที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้นั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นพื้นฐานของระบบหรือเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยมของเราในทุกๆวันนี้เลยก็ว่าได้ครับ ถ้ามีเวลาว่างแนะนำให้อ่านครับ แล้วเจอกันใหม่ที่ แมงเม่าคลับ.คอม ครับ


boyles

ที่มา http://mangmaoclub.com/the-new-concepts/

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Dow Theory ต้นกำหนดสรรพสิ่ง เทคนิคและระบบ

Dow Theory คืออะไร และทำไมถึงน่าสนใจ ผมจะลองสรุปเท่าที่รวบรวมข้อมูลได้นะครับ

Dow Theory คือ ทฤษฎีที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยนายชาร์ลส์ เอช ดาว (Charles H. Dow) ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค เมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว แต่กฏ และหลักการของดาว ยังคงใช้ได้ตราบจนถึงปัจจุบัน หลักการนี้มิได้พูดถึงเพียงการวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือ การเคลื่อนที่ของราคาหุ้น แต่สิ่งนี้ถือเป็นปรัญญาของตลาดหุ้น ที่อธิบายถึงพฤติกรรมของตลาดหุ้นที่ยังคงเหมือนเดิม เกิดขึ้นซ้ำๆเฉกเช่นเดียวกัน กับตลาดหุ้นเมื่อ 100 ปีที่แล้ว

ทำไม Dow Theory จึงน่าสนใจ ?

ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อ 100 ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน หลักการของดาวก็ยังเป็นจริงอยู่ พิสูจน์ได้อยู่ การเคลื่อนไหว การเก็งกำไรในตลาดหุ้นก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าทฤษฎีอาไรก็ตามที่เกิดในปัจจุบันล้านแล้วแต่มีจุดเริ่มต้นจาก Dow theory ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น elliott wave ระบบต่างๆในปัจจุบันเช่น peak and through system ดังนั้นถ้าเราจะเรียนรู้เพื่อเขียนระบบการเทรดของเราขึ้นมาเอง เราควรจะอิงทฤษฎีดาวด้วย

มีหลายต่อหลายคนพยายามคิดทฤษฎีใหม่ วิธีการเทรดใหม่ๆ ขึ้นมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จและเสียเวลามากมายไป ดังนั้นเราอาจจะมี 2 ทางเลือก คือ 1. คิดค้นขึ้นใหม่ อย่างเช่น buffet เราก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเทรดด้วยวิธีอาไร เช่นกันทฤษฎีดาวก็ถูกเปิดเผยหลังจากดาวตายไปแล้วเช่นกัน ถ้าเราคิดผิด มันก็แลกด้วยเวลาของเราเช่นกัน 2. ทำตาม เรียนรู้สิ่งที่มันสามารถใช้ทำเงินให้กับเราได้จริง

สำหรับผม ผมเลือกวิธีที่ 2 เพราะผมคิดว่าคงไม่สามารถมีเวลา ไปนั่งคิด ทดลองอาไรขึ้นมาใหม่ๆ ดังนั้นการเทรดโดยใช้ทฤษฎีที่ใช้ได้มาเป็นเวลา 100 ปี และในปัจจุบันก็ยังเป็นจริงอยู่ จึงน่าสนใจที่เราจะเรียนรู้

ต่อไปเราจะมาดูว่าทฤษฎีดาวว่ามีอาไรบ้าง

1. The Averages Discount Everything
2. The Market is comprised of three trends
- Primary trend (>1 year)
- Secondary Trend or intermediate trend ( 1-3 months)
- Minor trend ( Day - 3 weeks)
3. Primary trends have three phases: 1. accumulation 2. public participation 3. Distribution
4. The averages must confirm each other
5. the volume confirms the trend
6. A trend Remains intact until it gives a definite reversal signal

หลังจากเราได้หัวข้อใหญ่ๆแล้ว แล้วมาดูรายละเอียดของแต่ละหัวข้อกัน

1. The Averages Discount everything.

ราคาคือบทสรุปของทุกอย่างเหมือนกับหัวข้อที่เคยพูดไปแล้ว Market Action Discounts everything ยังคงเป็นหลักการเดิม ไม่ต้องพิจารณา Fundametal Factors เพราะมันอาจทำให้เราสับสน หลายๆคนคงไม่เห็นด้วยแต่มัน make sense สำหรับคนไม่มีความรู้เกี่ยวกับพื้นฐาน อย่างเช่น นักบัญชี หรือนักเศรษศาสตร์ ก็ไม่สามารถทำกำไรได้ในตลาดหุ้นได้

2. The market has Three Trends Uptrend, Downtrend and Sideway
2.1 Primary คือ Trend ใหญ่มักยาวเป็นปี
2.2 Secondary คือ Corrections การปรัฐานมักใช้เวลา 2 - 3 สัปดาห์ จนถึง 2 - 3 เดือน

2.3 Minor คือ Ripples เล็กๆใน correction


ต่อไปจะภาพตัวอย่าง ขออนุญาตเอา file สัมมนาของลุงโฉลกมาประกอบนะครับ เป็นรูปที่เข้าใจง่ายดี และเหมาะเอาไว้ดูทบทวนด้วย

สิ่งสำคัญอันดับต้นๆเราต้องอ่าน Trend ให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาเลือก indicators ต่างๆ มาจะ Trade อย่างไร

3 Major Trend Has Three Phases ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นที่มาของทฤษฏี Elliot Waves
1. Accumulation (Wave 1&2) สะสมหุ้น
2. Public Participation (Wave 3&4) นักลงทุนทั่วไปเริ่มเข้ามา
3. Distribution (Wave 5) เป็น wave ของการขายทำกำไร จะเป็นคลื่นสุดท้ายของการเก็งกำไร และเป็นคลื่นที่แมงเม่าเริ่มเข้ามา

4. The Averages must confirm each other
หมายความว่าถ้า industrial index ขึ้น transport index ก็ควรจะขึ้นเหมือนกัน trend ควรจะ confirm กัน ถ้าตัวนึงขึ้น อีกตัวลง แสดงว่าขัดกัน เศรษฐกิจยังไม่ไป ประเทศไทยยังไม่มี ดูได้แต่ Set อย่างเดียว

คือถ้าบริษัทขนส่ง ขนของดีแสดงว่าบริษัทจะต้องมียอดขายดี ดังนั้นหุ้นขนส่งควรจะสัมพันธ์กับหุ้นอุตสาหกรรมต่างๆด้วย

5. Volume must confirm the thrend
Volume ควรจะสนับสนุนของขึ้น ลง ของ Trend ด้วย ลุงโฉลกไม่แนะนำให้ดูมาก เพราะมันไม่ชัดเจน เพราะถ้าหุ้นขึ้น volume มันต้องเยอะตามอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่มีคนซื้อหุ้นจะขึ้นได้ยังไง

แต่หลักการข้อนี้ ก็สามารถเอาไปใช้ได้ในการระวังการเคลื่อนไหวของตลาดจริง ถ้าหุ้นลง volume เยอะตามให้เราเตรียมระวังเพราะมันมีโอกาสสูงที่จะลงต่ออีกหลายวันได้ ในทางกลับกันหุ้นในหุ้นขาขึ้นเช่นกัน แล้วเราจะรู้ได้ยังไงมาตอนไหนเรียกว่า volume เยอะหรือน้อย ตามความเข้าใจผมเราอาจจะใช้ค่า average ของ volume ในช่วงขณะนั้นเป็นเกณฑ์ ยังไงลองสังเกต แล้วลองเอาไปทดลองดู

6. A trend is assumed to be in effect until it gives definite signals that it has reversed
เมื่อราคาขึ้นจะขึ้นต่อ และเมื่อราคาลงจะลงต่อ จนกว่าจะมีสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน

The use of closing prices and presense of lines
Dow ใช้เฉพาะ Closing prices ไม่ใช้ intraday และใช้ดูสัญญาณ Reversal จาก Bear มาเป็น bull เมื่อ new trough > previous trough และ closing price > previous peak ( Peak & trough System)

Some Criticisms of Dow theory
เพราะทฤษฏีเรื่องการเปลี่ยน Trend ทำให้ Dow Theory จะเข้า ออก ช้าเกินไปเสมอ และจะขาดทุนกำไรประมาณ 20 - 25% นักลงทุนทั่วไปพยายามหาวิธี Trade ทีั่ดีกว่า Dow's Theory แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังสงสัยว่าจะมีระบบอะไรที่ทำได้ดีกว่า ลุงโฉลกได้แนะนำการใช้ระบบ Peak and trough System โดยปรับเปลี่ยนนิดหน่อย แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมมาก แต่สิ่งสำคัญเราต้องรู้จักวิธีการใช้ ข้อดี ข้อเสียด้วย ไว้จะ Update อีกที


boyles

ที่มา www.chaloke.com
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/06/I7943662/I7943662.html





วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สำรวจตัวเองกัน ว่าอยากเป็นนักเทคนิค หรือนักวิเคราะห์พื้นฐาน


เมื่อพูดถึงการวิเคราะห์เทคนิคและ การวิเคราะห์พื้นฐาน แต่ล่ะคนก็มีแนวคิดที่ต่างกัน ฉะนั้นการตัดสินใจที่จะเลือกเดินแนวทางไหน ในตลาดหุ้นจึงสำคัญเหมือนกัน ถ้าเราทำอะไรที่ขัดกับความเชื่อของเราแล้ว นั่นคงยากที่จะประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน ก่อนที่เราจะตัดสินใจว่าเราอยากเป็นนักลงทุนระยะสั้น กลางหรือยาว เรามาดูกันว่านักเทคนิคมีความคิดเห็น ที่ไป ที่มาอย่างไร ส่วนเรื่องการวิเคราะห์พื้นฐานอันนี้ คงต้องลองหา web อื่นอย่างพวก thaivi แล้วมาพิจารณาดู

ด้วยส่วนตัวผมเลือกการวิเคราะห์เทคนิค แต่ไม่ว่าเราจะเดินทางสายไหน เราก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ไม่ว่าจะเทคนิค หรือพื้นฐาน จุดมุ่งหมายคือการทำกำไรได้สม่ำเสมอ บางคนอาจจะกำลังมองหาเส้นทางที่เหมาะกับตัวเองอยู่ ผมก็มา share สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ และประสบการณ์ที่ผ่านมา แล้วก็ถือว่าสรุปบทเรียนไปในตัวด้วย

เนื้อความนี้ ความรู้ส่วนใหญ่ก็มาจากลุงโฉลกที่เป็นคนเปิดมุมมองเรื่องการลงทุนให้เป็นระบบ www.chaloke.com ก็ต้องขอขอบคุณ คุณลุงจริงๆ ครับ

ปรัญชาของการวิเคราะห์เทคนิค
มีนักวิเคราะห์บางคนที่อ่านกราฟ และพยายามทำนายอนาคตจากกราฟ จากประสบการณ์ของผม นักวิเคราะห์ที่สามารถบอกได้ว่า หุ้นจะลงกี่เดือน จุดนี้คือจุดสูงสุด อีก 7 วันหุ้นจะลงถึงประมาณจุดนี้ อาจจะมีบางจังหวะถูกบ้าง แต่ส่วนมากที่ผมเจอคือผิด ตลาดหุ้นประกอบด้วยความคิดของคนเป็นแสนๆ ล้านๆ การคาดคะเนว่าเขาจะคิดเหมือนเราได้ตลอด ผมว่ามันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เหมือนที่ลุงโฉลกได้กล่าวไว้ว่าพวกนี้คือพวกทำนายอนาคต มันเหมือนหมอดูมากกว่านักวิเคราะห์ ทำนายไปเหอะเยอะๆ เดี๊ยวมันก็ถูกเอง ถ้าเราเชื่อนั่นหมายถึงหายนะใน port เราซึ่งผมก็เคยเป็นหนึ่งในนั้นด้วย -.-"

นักวิเคราะห์ที่เก่ง หรือเซียนหุ้นที่ยิ่งใหญ่มากมายจะไม่ทำนาย แต่จะคำนวณ probability ความน่าจะเป็นของ possibility การขึ้น ลงโดยดูจากกราฟเทคนิค ผมว่าสิ่งที่ยากคือการคิดว่า probability ของการขึ้นหรือลง ในการเทรดในขณะนั้นอยู่ที่เท่าไหร่ เราควรจะเสี่ยงลงทุนระดับไหน นั้นก็ขึ้นอยู่กับการศึกษากราฟในรายละเอียดลงไปอีกที ซึ่งจะกล่าวต่อไปอีกที

มาดูแนวคิดของนักเทคนิค อันนี้เอามาจากลุงโฉลกเลย เห็นว่าเข้าใจง่ายด้วย

1. Market Action Discounts everything (การเคลื่อนไหวของหุ้นจะถูกแสดงออกมาผ่านกราฟ โดยได้ประมวลทุกอย่างแล้ว เช่น การคาดการณ์กำไร ขาดทุน แนวโน้มของบริษัท PE มูลค่าหุ้น .... ความโลภ ความกลัว)
- กราฟที่แสดงออกมา จะแสดงทุกอย่างออกมาแล้วในรูปของ supply demand เช่น เมื่อบริษัทำท่าจะขาดทุนหนัก อย่างน้อยคนวงในที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารก็ออกมาขายหุ้น โดยที่เราอาจจะยังไม่รู้ตัว แต่ทุกอย่างจะถูกแสดงออกมาผ่านกราฟ pattern แต่ปัญหาคือเราอ่านมันออกหรือเปล่า? ซึ่งนักวิเคราห์เทคนิคจะเชื่อว่า การวิเคราะห์พื้นฐานจะช้าไป กว่าจะรอให้ผลประกอบการออกมา แล้วเอาตัวเลขมาคำนวณ นั้นอาจจะอยู่ในจุดที่มันลงมาเยอะแล้ว ส่วนนึงก็อาจจะมาจากการปกปิดข้อมูลของผู้บริหารอีกด้วย ยังมีอีกตัวอย่างนึงที่ลุงโฉลกยกตัวอย่าง แบงก์ BBC (อันนี้มั้ง) ตอนราเกซโกงเงินไป ตอนแบงก์ปิด ยังประกาศผลกำไรอยู่เลย นี้คือสิ่งที่ต้องคำนึงด้วย การโกหกของผู้บริหาร แต่สิ่งนี้ไม่สามารถโกหกผ่านกราฟออกมาได้ (เพราะถ้าผู้บริหาร คนวงในขายหุ้น แนวโน้มขาลงต้องแสดงชัดเจนผ่านกราฟ)

2. Prices Move in Trends หมายความว่า ขึ้นแล้วจะขึ้น แพงแล้วจะมีแพงกว่าอีก แต่ถ้าลงแล้วจะลงอีก ถูกแล้วจะมีถูกกว่าอีก
- ราคาหุ้นจะมีแนวโน้มเสมอ ขึ้นก็ขึ้นยาว ลงก็ลงยาว ในระหว่างขึ้นก็อาจจะมี correction ด้วยเช่นกัน แต่ยังไงระยะยาวจะมี Trend เสมอ ความเชื่อนี้ทำให้นักเล่นหุ้นเก่งๆ สร้างเป็นระบบการเทรดของตัวเองขึ้นมา เพราะถ้ายังไง ถ้าเรา Trade ถูกทางใน Trend ใหญ่เราก็จะได้กำไรกลับมา ในเรื่องรายระเอียดของดู Trend ผมจะเขียนเพิ่มอีกที

3. History Repeats itself
- เมื่อเราเห็น pattern ต่างๆ ซึ่งในอดีตมันเป็นยังไง เมื่อมันเกิดขึ้นอีกในปัจจุบัน มันก็จะเป็๋นอย่างเดิมอีก นั้นหมายความว่าเมื่อเรามีระบบที่ดีแล้ว เราทำตามระบบไป มันก็ Repeat itself มันเคยเกิดยังไงก็จะเกิดอย่างนั้น แต่จากประสบการณ์ผมข้อนี้คนมักจะเอามาใช้ผิดกันเยอะ เพราะเราต้องไม่ลืมว่าเราเล่นกับ probability ความน่าจะเป็น เราไม่ควรมั่นใจจนเกินไป และอีกข้อเมื่อเราเห็นกราฟ pattern ลักษณะนึงเราก็รีบสรุปว่าเดี๊ยวมันจะต้องเกิดอย่างนี้ต่อนะ เพราะจริงๆ มันต้องดูหลายอย่างประกอบด้วยอย่างเช่น double bottom เราอาจจะต้องดู trend ใหญ่ประกอบด้วย แล้วลาก channel line ดูถึงความน่าจะเป็นของการเปลี่ยน trend ด้วย เพราะถ้าเรามองผิด double bottom ที่เราวิเคราะห์อาจจะเป็นได้แค่ 4 - 5 วันแล้วลากลงต่อยาวๆก็ได้

เมื่อเรายอมรับกฏ 3 ข้อนี้แล้ว เราก็จะมาศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมกันต่อไป เพราะถ้าเราเชื่อว่าเทคนิคสามารถทำกำไรให้เราได้สม่ำเสมอแล้ว เราก็ศึกษาด้านเดียวก็พอ เพราะผมว่าเราไม่มีเวลามานักศึกษาทั้งหมด ทั้งเทคนิคและพื้นฐานมันเยอะเกินไป เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า

เราจะเอากฏ 3 ข้อนี้มาทำเป็นระบบโดย
1. Market action discount everything อยู่แล้ว เราจะเอาเฉพาะ price data มาใช้ โดยจะไม่พิจารณา fundametal เช่น ค่า P/E ตามที่ผมเข้าใจเพราะมันอาจจะทำให้สับสน ถ้า fundamental บอกว่ามันบอกว่ามันต่ำกว่าพื้นฐานเยอะแล้วให้ซื้อ แต่ระบบทางเทคนิคให้ขาย มันจะทำให้เราสับสนแล้วทำให้เราไม่สามารถเทรดโดยใช้ระบบอย่างเคร่งครัด และมีวินัยได้
2. Prices move in trends ไม่ช้อนซื้อ ถ้าระบบยังแสดงสัญญาณขายอยู่ เพราะเมื่อลง จะลงต่อ ถูกแล้วจะมีถูกอีก และไม่ Take profit เมื่อระบบยังแสดงสัญญาณซื้อ เพราะขึ้นแล้วจะขึ้นอีก
3. History repeat itself จะช่วยให้เราทำตามระบบ ได้อย่างมีระเบียบ วินัย

ต่อไปเมื่อเราตัดสินใจได้แล้วว่าเราสนใจ เทคนิค หรือ พื้นฐาน เราก็ต้องหาสไตล์การเทรดของตัวเองให้เจอ เพราะผมมองว่ามันสำคัญเช่นกัน อะไรที่ขัดกับความเชื่อเรา หรือสิ่งที่เราคิด นั้นจะทำให้เรามีคำถามต่อการเทรดทุกครั้ง และทำให้ไม่สามารถรักษาระเบียบ วินัยของการเทรดเป็นระบบได้ เรื่องของการสไตล์การเทรดผมก็ว่างจะเอามาลงใหม่ ความจริงผมว่ามันก็น่าสนใจเหมือนกัน

ก็ขอสรุปไว้เท่านี้ล่ะกันสำหรับแนวทางการคิด การเทรดของนักเทคนิค

Boyles


วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

Trading System เขียนสิ่งที่ต้องรู้ลงในกระดาษ


จิตวิทยาการลงทุน part 2 ขอบคุณคุณมดที่แปลบทความดีๆ มากมายเหลือเกิน

จิตวิทยาการลงทุน 2 - Marc Douglas ( หนังสือ Trading in the Zone )

Marc ได้เขียนแนวทางการฝึกหัดการเก็งกำไร ในตอนที่เรียกว่า Trading an edge like casino หรือการเก็งกำไรอย่างมีแต้มต่อ และการเรียนรู้ที่จะเป็นนักเก็งกำไรที่มีวินัย อย่างสม่ำเสมอ โดยให้คุณคือระบบ และระบบกลายเป็นตัวคุณ โดย

1. Setting up Exercise
1.1 เลือกตลาด
1.2 เลือกหุ้นหรืออนุพันธ์ที่มีสภาพคล่อง และระวังการเล่น margin ด้วย

นี่คือแนวทางที่คุณจะฝึกด้วยเงินจริงๆ แต่ผู้สอนอยากจะให้ทดลองเล่นในกระดาษก่อน

มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งบอกว่ามีคนมากมายเข้ามาในตลาดหุ้น แต่มีเพียงคนเดียวที่เป็นเศรษฐีได้ โดยการแค่ Trade หุ้น IBM ตัวเดียว

2. เลือกแนวทางที่เราจะซื้อ-ขาย
2.1 อาจจะเป็นการวิเคราะห์พื้นฐาน หรือเทคนิคก็ได้ หรืออาจจะเป็นสถิติ ความน่าจะเป็นขึ้น ให้เข้ากับตัวคุณเอง
2.2 คุณต้องคำนึงว่ามันไม่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบ ความคิดเห็นของคุณจากการวิเคราะห์เทคนิค หรือกำไร ขาดทุนที่เกิดขึ้น มันขึ้นอยู่แค่คุณจะสามารถทำตามระบบได้หรือไม่ โดยไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

3. Trading System Requirement
3.1 Trade Entry ต้องรู้จุดเข้าที่แน่นอน
3.2 รู้จุดขายขาดทุน Stop loss
3.3 Time Frame เช่น intraday 30 นาที หรือ 60 นาที หรือ day เข้าด้วยTime frame ไหนออกด้วย Time frame นั้น
3.4 จุดที่คุณจะขายทำกำไร
3.5 ต้องลองซื้อ-ขายหลายๆครั้ง และวัดผลได้โดยไม่น้อยกว่า 20 ครั้งของการเทรด Trading in Sample sizes
3.6 มีการจัดการความเสี่ยงไปด้วย Accepting the risk

ก่อนที่คุณจะใช้ระบบคุณต้องเตรียมทำการบ้าน และตามคำถามเหล่านี้ให้ครบก่อน

ตัวอย่างของ Trade Entry
- ไม่ว่าคุณจะใช้ระบบอะไรในการเข้าซื้อ เช่น macd ตัดขึ้นให้ซื้อ จุดเข้าซื้อของคุณต้องแน่นอน ถ้าระบบของคุณยังแสดงว่ายังอยู่ในช่วงขาขึ้น เมื่อมันย่อลงมาคุณต้องเข้าซื้อ และถ้าระบบแสดงว่าอยู่ในช่วงขาลง ยังไงคุณก็ห้ามเข้าซื้อเด็ดขาด

ไม่เกี่ยวกับระบบคุณจะดีแค่ไหน แต่คุณต้องมีกฎการเข้าที่แน่นอน

Stop - Loss Exit
- ระบบของคุณต้องบอกได้ว่า คุณจะทำอย่างไร จะรอนานแค่ไหน และจะยอมเสี่ยงมากเท่าไหร่ ก่อนที่จะรู้ว่าระบบของคุณจะทำกำไรในคราวนี้หรือไม่ เนื่องจากมันจะมีจุดหนึ่งที่คุณไม่สามารถทำกำไรเพิ่มได้อีก และควรขายออกมา ดีกว่านั่งลุ้นให้มันวิ่งกลับไปที่เดิม

Time Frame
- เช่นคุณซื้อโดยใช้กราฟ 30 นาที คุณต้องขายโดยใช้กราฟ 30 นาทีเช่นกัน เข้าด้วยระบบอะไร ต้องออกด้วยระบบนั้น

ในเบื้องต้น marc ได้บอกกับเราไว้ว่าการเก็งกำไรที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดนั้น คือการซื้อหุ้นตอนที่พักตัว ในแนวโน้มขาขึ้น และถ้าเล่น short เมื่อหุ้นเด้งขึ้นมาเมื่อตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง

Taking Profit
มันเป็นศิลปะเลยในการเล่นหุ้น มันยากที่จะคาดเดาว่ามันจะแค่ย่อ หรือเป็นขาลงจริงๆ ดังนั้นเรื่องนี้จะกล่าวอีกที

Trading in sample size
- คุณต้องทดลองก่อนว่าระบบไหน work หรือ ไม่ work จากนั้นก็ก็แบ่งเงินออกเป็นส่วนและกระจายการลงทุน เพราะเมื่อหุ้นลงหนักๆ ตัวใดตัวนึงคุณจะไม่เสียมันไปทั้งหมด

Testing
- คุณต้องตัดสินใจว่า คุณจะวัดผลของระบบ โดยใช้จำนวนการซื้อ-ขายกี่ครั้ง โดยไม่ใช่การทดลองที่น้อยจำนวนครั้งเกินไป

Accepting the Risk
- คุณต้องรู้ระดับความเสี่ยงของคุณก่อน ขนาดการลงทุนของคุณ ยอมรับความเสี่ยงให้ได้ อย่าขายขาดทุนเพียงเพื่อความสะบายใจเท่านั้น

4. Doing the Exercise
กฎของคุณต้องง่ายต่อการทำตาม ทดลองได้เลย ! อย่าลืมเก็บสถิติด้วยนะครับ

"ทำตามระบบ และระบบจะฝึกฝนคุณเอง" ออกแบบระบบที่เหมาะสมกับตัวเอง หลังจากที่ทำตามระบบได้ คุณจะพัฒนาขึ้น และตระหนักว่าคุณจะสามารถมองเห็นตลาดเป็นโอกาสทำกำไรได้ตลอดเวล โดยไม่รู้สึกว่าระบบ หรือตลาดจะคอยเล่นงานขึ้นอยู่

boyles


วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาดูแนวคิด ก่อนใช้ Trading system

อันนี้ผมว่าเป็น clip ที่จะทำให้เราเข้าใจการ Trade โดยใช้ระบบได้ดีมากขึ้น


ก็ขอสรุป คร่าวๆ เผื่อใครขี้เกียจดู Clip นี้นะครับ

vdo นี้สรุปว่า การเล่นหุ้นด้วยระบบนั้นเป็นเกมส์ของความน่าจะเป็น และสถิติครับ ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับความหวังว่าถ้าเกิดอย่างนี้ แล้วจะเป็นอย่างนั้น

จากสถิติเบื้องต้นนั้น ระบบจะมีความแม่นยำอยู่ที่ 70 % ขึ้นไป ดังนั้นคุณควรจะเชื่อระบบอย่างน้อยให้ครบ 10 ครั้งก่อนจะตัดสินใจว่าควรจะทำตามระบบต่อไปไหม ซึ่งคุณควรจะถูก 7 ครั้งใน 10 ครั้ง โดยคนทำ vdo นี้ทำการทดลองโดยการสุ่มหยิบลูกแก้ว แล้วนำมา plot เป็นกราฟซึ่งกราฟจะได้ไกล้เคียงกับกราฟในตลาดหุ้น นั้นซึ่งเป็นที่มาของตัวเลขสถิติที่กล่าวมาข้างต้น ( ยังไงอยากรู้เขาทดลองยังไง ดู clip ได้นะครับ)

คุณไม่สามารถเล่นหุ้นโดยบอกว่า ตอนนี้ผมคิดว่ามันเป็นขาขึ้นหรือขาลง แต่คุณต้องอธิบายอย่างชัดเจนได้ว่า จะทำกำไร หรือตัดขาดทุนเมื่อไหร่ Exit? Stops? Targets? ถ้าคุณไม่สามารถมีคำตอบให้ตัวคุณเองได้ล่ะก็ คุณก็คนที่เตรียมรอวันเจ๊งหุ้น

และจากสถิติอันนี้ เมื่อคุณได้กำไรติดต่่อกัน 5 - 6 ครั้งแล้วคุณควรจะลดน้ำหนักการลงทุนลง เพราะจากสถิติ 3 - 4 ครั้งถัดไปคุณมีโอกาสแพ้ติดต่อกันได้ ก่อนที่เงินคุณจะโตขึ้นอีกครั้ง

แต่ช่วงที่เป็นทำให้คนไม่สามารถทำตามระบบได้ก็คือช่วงที่มันเป็น whipsaw ( อยู่กับที่ขึ้นๆลงๆ) ก่อนจะมี Trend ใหญ่เกิดขึ้น ดังนั้นความมีวินัย และการควบคุมอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญในการเล่นตามระบบ

ก่อนที่จะทำกำไรมหาศาล ไม่ใช่แค่เล่นตามเซียนเก่งๆ เวบบอร์ดดีๆ หนังสือดีๆ แต่ผู้คนมากมายก็ยังขาดทุนในตลาดหุ้นอยู่ดี ดังนั้นคุณควรจะตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า เมื่อไหร่ควรเข้า เมื่อไหร่ควรออก เมื่อควรหยุดการขาดทุน ระบบของคุณสามารถดูสถิติย้อนหลังได้ไหม ค่าเฉลี่ยของการชนะ และแพ้ เป็นสิ่งที่คุณควรจะต้องคำนึง

boyles


แหล่งที่มา: http://mangmaoclub.com/important-trading-system/