วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การวิเคราะห์ Fund Flow และ Six Stages of Business Cycle


เมื่อวันเสาร์ ผมก็ไปสัมมนาเรื่องการวิเคราะห์ Fund Flow ของ Broke นึงที่ผมเป็นลูกค้าครับ ก็จะขอสรุปเอาไว้นะครับ เดี๊ยวลืม ^^

จากที่ผมสรุปเนื้อหาสาระสำคัญก็จะแบ่งออกเป็นหลักๆดังนี้
1 การวิเคราะห์ Macro Fund Flow
2 การวิเคราะห์ Micro Fund Flow
3 การนำมากำหนดกลยุทธ์เพื่อการลงทุน

1. MACRO FUND FLOW

1.1 ศึกษา Six stages of business cycle จากรูปที่ post ไว้บนสุดนะครับ
Stage 1


1.2 การไหลของเงินในระบบเศรษฐกิจ มาจาก 2 ส่วนด้วยกัน

(1) การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมทำให้เกิดการจ้างงาน ประชาชนมีรายได้ไปจับจ่ายกัน แล้วเราก็มาวิเคราะห์ GDP กัน GDP เกิดจาก
GDP = C + I + G + NE
C = การใช้จ่ายในครัวเรือน consumption
I = ภาคการลงทุน Investment
G = การลงทุนของภาครัฐ Government Spending
NE =การส่งออกสุทธิ Net Export หรือ X(การส่งออก) - m(การนำเข้า)

(2) เงินส่วนเกินจะถูกนำมาลงทุนในรูปแบบต่างๆ

updating

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

FTEX อีกทางเลือกของการเก็งกำไร อัตราหลักประกันและค่าธรรมเนียม

สำหรับผมก็ Trade Future Set50 มาก็พักใหญ่ๆแล้วนะครับ ความจริง Stock future ก็น่าสนนะครับ แต่อาจจะติดที่ volume มันน้อย แต่เนื่องจากเราไม่ได้เล่นเยอะที่ต้องเปิด ปิดที่เป็นพันๆสัญญา ดังนั้นผมจึงไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหามากนัก ยกเว้นสำหรับนักเก็งกำไรระยะสั้นมาก

สำหรับการ Trade future ทั้ง Set50 และ stock Future เราอาจจะเรียนรู้ไว้เป็นทางเลือกในการเก็งกำไรในตลาดจะดีกว่า ความจริงวัตถุประสงค์จริงๆน่าจะเป็นการป้องกันความเสี่ยง แต่เอาเป็นว่า ผมจะพูดแนวการเก็งกำไรมากกว่า

ที่ผมจะลงต่อไปจะเป็นตารางหลักประกันและค่าธรรมเนียมนะครับ บางทีผมก็ลืมสำหรับ future stock บางตัว ดังนั้นจึงขอเอา update ลง blog จะได้ดูง่ายๆหน่อย

สำหรับคนไม่เคยเทรดผมจะเขียนคร่าวๆ สำหรับคำศัพท์แต่ล่ะอันนะครับ จะได้อ่านตารางแล้วเข้าใจนะครับ

สำหรับสัญลักษณ์ เช่น เทรด future set50 จะเป็น S50U10 (S50 = SET50, U = สัญลักษณ์ของเดือน, 10 = ปี 2010) สำหรับสัญลักษณ์ของเดือนจะเป็น (H = เดือน 1-3, M = เดือน 4 - 6, U = เดือน 7 - 9, Z = เดือน 10 - 12) และสำหรับ stock future เช่นถ้าเราจะเทรด TTA Future ที่จะหมดอายุภายในปี 2010 เดือนกันยา(เดือน 9) สัญลักษณ์จะเป็นดังนี้ TTAU10

สำหรับในตารางจะมีดังนี้ initial margin = ค่าหลักประกัน, Maintenance margin = มูลค่าหลักประกันที่เราจะมีน้อยกว่านี้ไม่ได้ คือถ้าเราเทรดผิดทางแล้วเสียเงิน มูลค่าหลักประกันเราจะลดลงแต่ห้ามน้อยกว่านี้ หรือเราอาจจะเติมเงิน ห้ามต่ำกว่านี้ ถ้าเราปล่อยให้มูลค่าในพอร์ตเราลดต่ำกว่า maintenance margin เราจะมีสองทางเลือกคือ โดยบังคับปิดสัญญา หรือเติมเงินให้เท่ากับมูลค่าเริ่มต้น initial margin (force close)

สำหรับช่องต่อไปคือค่านายหน้าผมอ่านแล้วก็งงๆ เอาเป็นว่า broke บอกผมว่าจะประมาณเท่ากับราคาหุ้นเลยอย่างเช่น pttepu10 ราคา 144 ค่านายหน้าจะประมาณ 144 บาทไปเลยสำหรับการเปิด หรือปิดสัญญา(ขาเดียว)

สำหรับค่าธรรมเนียมช่องสุดท้ายก็ + เข้าไปตาหากแล้วก็ไป x vat เอาครับ

สำหรับ option นี่ผมขอข้ามนะครับเพราะอาจจะเข้าใจยากกว่าเพราะมันจะมี call push buy sell เปิด ปิด สัญญา อาจจะต้องทำความเข้าใจมากหน่อยแต่ไม่ยากครับ

สำหรับเรื่องทำกำไร ผมขอยกตัวอย่างสั้นๆ ล่ะกันนะครับ ใครอยากลองต้องมาเล่นดูครับ KTBU10 เทรดกัน 13 บาท เราวางเงิน 1000 บาทก็เทรดได้แล้วครับ เพราะ หลักประกัน = 950 ค่านายหน้า = 13 ค่าธรรมเนียม = 0.5 รวม = 963.5 บาท

การทำกำไรจะเป็นดังนี้ จะคิด .1 จุด = 100 บาท และ 1 จุด = 1,000 บาท

ถ้าเรา long (ซื้อขึ้น) 13 บาท แล้วไปขาย 13.2 เราจะได้กำไร 200 - (13.5 + 13.5) = 173 บาท ถ้าตีเป็นเปอร์เซ็น เราสามารถทำกำไร ได้ 17.3 % ทีเดียวจากการวิ่งแค่ 2 ช่องครับ

เห็นกำไรแล้วอย่าเพิ่งตื่นเต้นนะครับ เพราะอย่าลืมคำนวณ margin ด้วยนะครับ ในทางกลับกันเราก็อาจจะเสียเยอะก็ได้ครับ Hi risk hi return ก็เป็น idea สำหรับอีกทางเรื่องของการเก็งกำไรล่ะกันครับ

ไว้แค่นี้ก่อนล่ะกันครับ เรามาดูตารางกันดีกว่า จบไปนอนล่ะครับ

boyles


I

อัตราหลักประกันและค่านายหน้า+ค่าธรรมเนียม

ตารางแสดงอัตราหลักประกันและค่านายหน้า+ค่าธรรมเนียมในการซื้อหรือขายข้างเดียว (Outright) 1 สัญญา สำหรับอัตราหลักประกันของการซื้อขายแบบ inter-month spread นั้น มีค่าเท่ากับ outright margin/4

Product

Initial Margin

Maintenance Margin

Force Close

ค่านายหน้า*

ค่าธรรมเนียม**

(บาท)

(บาท)

(บาท)

(บาท)

SSF

ADVANC***

8,449

5,915

2,535

0.1% ของมูลค่าสัญญา

0.5 บาท

BANPU

60,800

42,560

18,240

0.1% ของมูลค่าสัญญา

5 บาท

BAY

2,660

1,862

798

0.1% ของมูลค่าสัญญา

0.5 บาท

BBL

13,300

9,310

3,990

0.1% ของมูลค่าสัญญา

5 บาท

ITD

570

399

171

0.1% ของมูลค่าสัญญา

0.5 บาท

KBANK

9,500

6,650

2,850

0.1% ของมูลค่าสัญญา

0.5 บาท

KTB

950

665

285

0.1% ของมูลค่าสัญญา

0.5 บาท

LH

950

665

285

0.1% ของมูลค่าสัญญา

0.5 บาท

PTT

26,600

18,620

7,980

0.1% ของมูลค่าสัญญา

5 บาท

PTTEP

17,100

11,970

5,130

0.1% ของมูลค่าสัญญา

5 บาท

QH

380

266

114

0.1% ของมูลค่าสัญญา

0.5 บาท

SCB

9,500

6,650

2,850

0.1% ของมูลค่าสัญญา

0.5 บาท

SCC

24,700

17,290

7,410

0.1% ของมูลค่าสัญญา

5 บาท

TTA

3,800

2,660

1,140

0.1% ของมูลค่าสัญญา

0.5 บาท

Gold

Gold Futures

57,000

39,900

17,100

1-5 สัญญาแรก = 450 บาท

50 บาท

6-20 สัญญาถัดไป = 350 บาท

21 สัญญาขึ้นไป = 250 บาท

Index

SET50 Futures

45,600

31,920

13,680

1-5 สัญญาแรก = 400 บาท

50 บาท

6-20 สัญญาถัดไป = 300 บาท

21 สัญญาขึ้นไป = 200 บาท

SET50 Options

แปรผันตามระดับความเสี่ยง

แปรผันตามระดับความเสี่ยง

แปรผันตามระดับความเสี่ยง

1-25 สัญญาแรก = 80 บาท

5 บาท

(เฉพาะฐานะShort)

26-100 สัญญาถัดไป = 60 บาท

101 สัญญาขึ้นไป = 40 บาท

หมายเหตุ * สูตรการคำนวณอัตราค่านายหน้าและค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย Single Stock Futures (1 สัญญามีขนาดเท่ากับ 1,000 หุ้น) คือ

{ [ มูลค่าต่อสัญญา x อัตราค่านายหน้า + อัตราค่าธรรมเนียม ] x VAT 7% } x จำนวนสัญญา

** อัตราค่าธรรมเนียมนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ก.พ. 53 31 ธ.ค. 53 โดย SSF ที่มีราคาไม่เกิน 100 บาท จะมีค่าธรรมเนียม 0.5 บาท และ SSF ที่มีราคาสูงกว่ากว่า 100 บาท จะมีค่าธรรมเนียม 5 บาท

*** SSF ของ ADVANC 1 สัญญา มีขนาดเท่ากับ 1,059 หุ้น

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Double Dip Recession BDI และหุ้น ถึงเวลาที่ต้องระวังหรือยัง



















ตอนนี้ก็มีหลายความคิดเห็นว่าจะมีการเกิด double dip recession ในอเมริกาหรือเปล่า เดี๊ยวเราลองมาดูกันนะครับว่ามีใครคิดอย่างไรกันบ้าง สำหรับผมมีความคิดเห็นว่าจากค่า LEI ECRI ในอเมริกาแนวโน้มตัวเลขในช่วงเดือนหลังๆที่ประกาศออกมาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ดังนั้นโอกาสเกิดก็มีเช่นกัน แต่คงยังไม่เร็วมากนักเพราะ ตัวเลขที่ประกาศจะค่อยๆทะยอยออกมาเป็นเดือนๆ ถ้าแนวโน้มตัวเลขที่จะประกาศออกมายังคงไม่ดี double dip recession ก็คงไม่ไกลเกินไป ดังรูปใน http://set-financial-academy.blogspot.com/2010/06/lei.html

หลังจากดู LEI และ ECRI แล้วเรามาดู BDI กัน BDI คืออาไร
โดยการคำนวณดัชนี Baltic นั้นจะทำการหยั่งเสียงจาก Broker ของ Baltic เพื่อถามต้นทุนของคลังสินค้าและค่าขนส่งของ raw material ในทุกเส้นทางทั่วโลก โดยดัชนีจะนำการขนส่ง raw material เช่นสินแร่เหล็ก วัสดุก่อสร้าง ถ่านหิน หรือเมล็ดพืช มาคำนวณเท่านั้น ไม่นำการขนส่งสินค้าที่เป็น finish goods เข้ามาคำนวณในดัชนี และนำค่าระวางของเรือเทกองมาใช้ในการคำนวณเท่านั้น โดยดัชนี Baltic Index นั้นมีอยู่ 4 ดัชนี ซึ่งจำแนกด้วยขนาดของเรือ คือ

1. The Baltic Handymax Index (BHMI) นำค่าระวางเฉลี่ยบนเส้นทางเดินเรือหลักทั้งแบบ voyage และ time charter เฉพาะการเช่าเรือขนาด Handymax มาคำนวณดัชนี

2. The Baltic Panamaz Index (BPI) นำค่าระวางเฉลี่ยบนเส้นทางเดินเรือหลักทั้งแบบ voyage และ time charter เฉพาะการเช่าเรือขนาด Panamax มาคำนวณดัชนี

3. The Baltic Capesize Index (BCI) นำค่าระวางเฉลี่ยบนเส้นทางเดินเรือหลักทั้งแบบ voyage และ time charter เฉพาะการเช่าเรือขนาด Capesize มาคำนวณดัชนี

4. The Baltic Dry Index (BDI) ดัชนี BDI เป็นการคำนวณจากการเฉลี่ยจาก BHMI, BPI และ BCI ซึ่งเป็นดัชนีที่แสดงภาพรวมของค่าระวางของทุกขนาดของเรือนั่นเอง

บางสำนักก็ไม่นำ BDI มาวิเคราะห์ real economy นะครับหรือบางสำนักก็อาจจะดูค่าอื่นประกอบด้วย

BDI จะว่าไม่เกี่ยวเลยก็พูดได้ไม่เต็มปากนะครับ แต่คงขึ้นอยู่กับนำมาวิเคราะห์มากกว่าครับ ค่าระวางเรือที่ลดลงอาจจะมองได้ 2 ส่วน ส่วนแรกอาจจะมาจากการขนส่ง สินค้าทั่วโลกลดลงทำให้ราคาค่าระวางเรือลดลง อย่างที่สองคือในช่วงที่เศรษฐกิจ peak อาจจะมีการต่อเรือขึ้นมาเยอะมากทำให้หลังจากนั้น เมื่อเศรษฐกิจ down ลงมา ความต้องการใช้เรือไม่ได้มากเท่าเดิม แต่เรือเพิ่มขึ้น ค่าระวางเรือจึงตกลง

แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ตัวเลขค่าระวางเรือที่ลดลงมากมาย จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว และประเทศไทยที่พึ่งพาการส่งออกจะกระทบขนาดไหน จึงยังน่าเป็นห่วงจริงๆครับ ตัวเลขค่าระวางเรือ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมจึงแสดงว่าเศรษฐกิจยังไม่ได้ฟื้นจริงๆ โดยส่วนตัวผมก็ทำงานเกี่ยวกับส่งออก วัตถุดิบที่ส่งออกไปทางยุโรปลดลง 70 % จากตอนมัน peak มา 2 ปีแล้ว แล้วโน้มโน้มก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ที่ดีจะมาจากการส่งออกไปเอเชีย และจีนมากกว่าครับ

ที่ผมกังวลคงเป็นเรื่องของราคาหุ้นในบ้านเราที่ขึ้นมาอย่างมากมายครับ แต่ยังน่าแปลกใจที่ค่าระวางเรือมีแต่ดำดิ่งลงเหว เพราะประเทศเราพึ่งพาการส่งออกมาก นั้นจะหมายถึงตัวเลขการส่งออกที่จะประกาศต่อไปในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าจะแย่ลงหรือเปล่า ก็น่าคิดนะครับ ถ้าอิงจากทฤษฎีดาวน์ หุ้นกับหุ้นขนส่งต้องไปด้วยกัน ก็เลยมาเปรียบเทียบกับบ้านเรา น่าจะดูจากการส่งออก BDI ด้วยแนวโน้มนะครับก็น่าจะมีความสัมพันธ์กันทางนึง อย่างไรเล่นหุ้นช่วงนี้ก็ระวังกันสักหน่อยนะครับ

ต่อไปเรามาดูลุงโฉลกวิเคราะห์กันครับ ผมมองว่าน่าสนใจมากครับ โดยเฉพาะนโยบายการกู้เงิน มันช่วยได้จริงเหรอ หรือแค่ภาพลวงตาระยะสั้นครับ

รัฐบาลหน้าเหลี่ยมลูกหมากเน่า หลอกเราครั้งแรกโดยใช้นโยบายกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาล อ้างว่านำมาเพื่อเพิ่มการใช้จ่ายอันเป็นวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ตามความเป็นจริงก็เพื่อเอาเงินงบประมาณมาซื้อเสียงโดยใช้นโยบายประชานิยมเท่านั้นเอง วันนี้รัฐบาลหน้าหล่อ ก็ใช้นโยบายเดิม อ้างว่าต้องกู้ยืมเงินเพื่อเพิ่มรายจ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ตามความเป็นจริงก็เพื่อเอาเงินงบประมาณมาให้พรรคร่วม ทุจริตคดโกงชาติ นิทานหลอกเด็กนี้ทำให้เกิดการส่งเสริมธุรกิจทุกชนิด รวมทั้งที่ไม่ควรส่งเสริม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจแรกๆที่ได้รับการกระตุ้นให้เกิดความต้องการที่เกินความจริง เมื่อใดที่เศรษฐกิจกลับมาสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งหนึ่งก็จะเกิดภาวะฟองสบู่ของภาคอสังหาริมทรัพย์ขึ้นอีก ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะไม่สร้างความเสียหายให้เฉพาะลูกหนี้ของธนาคารเท่านั้น แต่เงินกู้ยืมปริมาณมหาศาลของภาครัฐจะเกิดปัญหาไม่สามารถใช้หนี้ได้ สิ่งที่จะตามมาคือตลาดพันธบัตรจะมีปัญหา ผู้ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลขาดทุนแน่นอน และผลเสียก็จะตามมาถึงตลาดหลักทรัพย์ด้วย

tale_2

Dow Jones Industrial Average มี Pattern ของ Wave 3-4-5 โดยเกิด Bearish convergence

tale_3

ใครก็ตามที่คิดว่าเศรษฐกิจของโลกพ้นจากภาวะ Recession แล้ว ควรคิดอีกครั้งหนึ่ง

Time scale ของ Corrective wave A-B-C ไม่สั้นอย่างนี้แน่นอนครับ

tale_4

เรากำลังจะได้เห็น Double Dip Recession

tale_5

S&P 500 ก็แสดง Pattern ชัดเจนว่าสิ่งที่จะตามมาคือ Double dip Recession ไม่ใช่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างยิ่งยืนตามที่รัฐบาลของโลก

(ที่เรียกตัวเองว่า) เสรี ทุนนิยมสามานย์ พยายามหลอกลวงประชาชน

tale_6

10-year Treasury notes ของอเมริกา แสดง Rule of 3 คือการทำ New High ครั้งที่ 3

ซึ่งมักจะตามมาด้วย Reversal to the down side และนั่นย่อมหมายถึงอัตราดอกเบี้ยที่จะเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน

tale_7

อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นแปลว่าตลาดหลักทรัพย์ราคาจะลดลง บัดนี้อัตราดอกเบี้ยเริ่มมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นทั่วโลกแล้ว ประเทศไทยของเราก็เช่นเดียวกัน ราคา SET Index ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ทำทีท่าจะเป็น Pivot reversal หรือเปล่า? สถานะการณ์ทางการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ รอวันปฏิวัติรัฐประหารทางใดทางหนึ่ง ภัยคุกคามจากอเมริกาที่ต้องการยึดครองบ่อ Gas และบ่อน้ำมันในอ่าวไทย โดยใช้อาวุธคือ ทุนและกฏหมาย ผ่านเขมรเป็นเครื่องมือคุกคามไทย ภัยคุกคามจาก Singapore ที่ใช้อาวุธคือ ทุนและกฏหมาย เช่นเดียวกัน เข้ามายึดครองธนาคารทุกธนาคาร และอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศ ทางออกของประเทศดูมืดมนธ์ ตลาดหลักทรัพย์เริ่มส่งสัญญาณอันตราย หวังว่าสมาชิกคงเตรียมพร้อมถ้ามีสัญญาณขายเกิดขึ้น

ลุงโฉลก


หวังว่าคงมีประโยชน์กับเพื่อนๆนะครับ

Boyles

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทฤษฎีใหม่ของโลก กับcomment น่าสนใจจากนักวิเคราะห์คนนึง

วันนี้ผมก็ไปอ่านเจอบทวิเคราะห์ของ Broke นึงครับ ก็น่าสนใจดีครับ + ขำๆ โดยปกติผมจะไม่ค่อยให้ความสำคัญของบทวิเคราะห์มากนัก ทีั่อ่านเพราะอยากรู้อารมณ์ตลาดเท่านั้น เพราะมันก็ผิดๆ ถูกๆ ปนๆกันไป

เรามาเข้าเรื่องกันต่อ นักวิเคราะห์คนนี้ก็เป็นหนึ่งในคนที่มองตลาด Bearish ครับ สวนทางกับหลายๆที่ ที่มองตลาด Bullish ครับ

มาดูที่คำที่เขา quote ไว้นะครับ เขากล่าวไว้ว่าอย่างไรบ้างกับทฤษฏีใหม่ของโลก

"Eight vultures : อีแร้ง 8 ตัว
ก่อนหน้าเป็นแนวโน้มขึ้นวันแรกเปิดต่ำปิดสูง วัน ที่2 เปิดสูงปิดต่ำ และต่อเนื่องเป็นเวลา 8วัน จน ชาวญี่ปุ่นผู้เขียนทฤษฎีแท่งเทียนที่ใช้เป็นรูปแบบการกลับตัวต้องกลับไปเขียนตำราใหม่โดยตั้งชื่อตามสภาพตลาดว่า “อีแร้งแปดตัว” โดยหุ้นที่ขึ้นแรงทุกวันเป็นหุ้นที่อีแร้งชอบกินสลับสับเปลี่ยน เช่นแบงค์ทหารลาวสามบาทขาดตัวไก่สวรรค์ วีซุปเปอร์เพชร รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ยางนรกสิบหกปีเท่าทุน เคเบิลนรก 13ปี 350 เหลือต่ำบาท คิดติเน่า และอื่นอีกมากมายเข้าแถวลิ่งมีการให้เป้าราคาผ่านสื่อทุกวันกรรมการเป็นใบ้ เพราะกลัวอีแร้ง 8 ตัว สุดท้ายลงแรงนักลงทุนถูกอีแร้งกิน หากสัปดาห์หน้าหุ้นกลับตัวลงจะได้รับการยอมรับเป็นทฤษฏีใหม่ของโลกจบขำ ๆ"

คำพูดที่เหน็บแหนบมันอาจจะจริงบ้าง ถูกใจใคร หรือไม่ถูกใจใครบ้าง แต่ก็บ่งบอกถึงความหวังดี ที่ให้ระวังการเล่นหุ้นในกลุ่มพวกนี้ด้วยนะครับ ดูไปก็น่าคิดนะครับ + ขำๆ ยังไงใครเล่นหุ้นพวกนี้อยู่ถ้ามีสัญญาณขายก็อย่าลืมออกมานะครับ แล้วก็ที่ตลกนั้นคือ ทฤษฎีใหม่ที่พยายามฝืนตลาดอยู่ เลยโดนตั้งเป็นอีแร้งแปดตัวสะเลย วันนี้ก็เข้าสู่อีแร้งตัวที่ 7 แล้วนะครับ อย่าดูถูกไป อาจจะเป็นจริงก็ได้ :)

ส่วน
ทฤษฎีนี้ ไม่ต้องไปหานะครับ ผมหาแล้วครับ ไม่มีครับ ไม่ต้องเสียเวลาหา ไม่เจอแน่นอนครับ ดูกันขำๆพอครับ สำหรับผม เรื่องข่าวกับหุ้น อ่านไปก็ปวดหัวครับ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ปกติผมอ่านข่าวรวมๆมากกว่า ไม่ค่อยเน้น อ่านข่าวแล้วเทรดหุ้นครับ เพราะกราฟบอกทุกอย่างอยู่แล้ว อย่างเรื่องของ THCOM ผมว่าเป็นการปั้นที่น่าเกลียดแห่งปีเลยครับ แล้วก็ loxley อีกข้ามไปดีกว่า เรื่องพวกนี้

อีกเรื่องครับ จากรูปก็น่าสนใจดีเรื่องของ cycle 34 วันที่เขายกมา ผมไม่คิดว่านี้จะเป็นหลักการที่เอาไปใช้จริงได้ แต่ให้เป็นสำหรับการสังเกตดีกว่าครับ เพราะว่าช่วง 34 วันในเดือนธันวาที่เขายกตัวอย่างมา คือช่วงที่กองทุนซื้อหุ้นตลอดทั้งเดือน ตลาดต่างประเทศลงยังไง ไทยก็ขึ้นครับ ช่วงนั้น fundflow จากต่างชาติก็ไม่มีเหมือนกัน เหมือนกับช่วงนี้ที่กองทุนซื้ออัดเข้ามาจะ 34 วันแล้ว โดยต่างชาติก็ไม่ได้เข้าเหมือนกัน ดังนั้นก็อาจจะโอกาสเป็นเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ก็ได้ครับ ยังไงเรายึดระบบของเราเป็นหลักดีกว่า ถ้ามีสัญญาณขายก็ขายดีกว่า แต่ถ้าสัปดาห์หน้าลงก็น่าคิดนะครับ ลองมาดูเฉลยในสัปดาห์หน้ากันดีกว่า

ส่วนเรื่องของ fundflow ผมยังไม่คิดว่า จะมี fundflow จากต่างชาติเข้ามาในระยะเวลาอันใกล้นี้ เพราะผมมองว่าจากการที่หุ้นจีนลงมาเยอะในช่วงหลังทำให้เงินน่าจะ flow ไปทางจีนมากกว่า อีกทั้งเหตุการณ์บ้านเมืองเราอีก และยังมีอัตราดอกเบี้ยในบ้านเรา เมื่อเทียบกับหุ้นปันผลในหลายๆตัวยังถือว่าถูก ดังนั้นไม่น่าแปลกใจเงินที่สภาพคล่องในตลาดยังมากอยู่ แต่อย่างไรก็ตามถ้าเกิด panic หนักๆ ถูกยังไงคนก็กลัวครับ ดังนั้นกำหนัดกลยุทธ์ดีๆนะครับ จุด stop ให้ดีๆ ส่วนตัวผมก็วิเคราะห์เรื่อยๆ ครับถูกๆ ผิดๆ คละเคล้ากันไปที่
http://set-financial-analysis.blogspot.com/ แต่ถ้ามีสัญญาณไม่ดีจะไม่รีรอที่จะรีบเตือนทุกคนครับ

ก็หวังว่าคงมีประโยชน์นะครับ แล้วก็ตลกๆกันไป(รึเปล่า)

boyles

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

web update กราฟเทคนิคทุกวันครับ

หลังจากบอลโลกจบก็ว่าจะ update candlestick ต่อแต่ผมจะเริ่ม update


วิเคราะห์กราฟเทคนิคทุกวัน ( จะพยายามครับ ) จะได้เก็บเป็นความรู้ว่าผมวิเคราะห์ถูก ผิดอย่างไร เอาไว้พัฒนาตัวเองว่าผิดพลาด และถูกต้องอย่างไรในอนาคตครับ ใครสนใจก็เข้าไปดูได้นะครับ

นอนดึกมาหลายวัน ดูบอลเชียร์สเปนครับ ได้แชมป์จนได้ :) แต่นี้ไปก็จะเริ่มพยายาม update อีกครั้งครับ

boyles

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กราฟแท่งเทียน candlestick ใช้อย่างไรให้ถูกต้อง Part 1

กราฟแท่งเทียนก็เป็นเทคนิคที่สำคัญที่เราควรจะเรียนรู้กัน แต่บางทีก็ยังมีหลายคนที่ใช้กันผิดๆอยู่ อย่างเช่น เห็นแท่งเทียน doji แล้วเดี๊ยวมันต้องเป็นอย่างงี้ แม้รูปแบบแท่งเทียนจะมีความหมายในตัวของมันอยู่แล้ว แต่เราก็ไม่อาจเอามันมาวิเคราะห์ได้ทุกสถานการณ์หรือตลอดเวลา แท่งเทียนต้องวิเคราะห์คู่กับเครื่องมืออย่างอื่นอีก อย่างเช่นเอา fibo มาคำนวณ กราฟแท่งเทียนจะมีความหมายก็ต่อเมื่ออยู่ในจุดที่สำคัญๆ อย่างเช่นจุด fibo ที่เราได้คำนวณเอาไว้ ซึงนั้นจะทำให้เราระวังจุดกลับตัว หรือวิเคราะห์รวมกับ trend following ได้อีกด้วย

ความจริงยังมีโปรแกรมที่ช่วยเราดูวิเคราะห์ candlestick ด้วยผมเคยลงไปครั้งนึงแต่ไม่สำเร็จ ไม่รู้ install ผิดหรือโปรแกรมที่ผมไป download มามีปัญหา ไว้ถ้าผมลงสำเร็จแล้วจะเอามา post ให้ล่ะกันนะครับ ตอนนี้
เราก็วิเคราะห์แท่งเทียนหลักๆที่มีความหมายสำคัญๆก่อนล่ะกันครับ

PART 1 เราจะมาเรียนรู้เรื่องความหมายของแท่งเทียนแต่ล่ะชนิดกันก่อนครับ แล้วเดี๊ยว part หลังค่อย เอามาใช้หาพวก Reversal pattern ครับ

Candlestick Formation examples from StockCharts.com Long Shadows Candlestick example from StockCharts.com

เรามาดูกันครับส่วนประกอบของ candlestick ก็เป็นดังรูป ทางด้านขวาก็จะประกอบด้วย body, long upper shadow และ long lower shadow ครับ

Spinning Tops

แสดงถึงความลังเลของทางฝั่งผู้ซื้อและผู้ขาย ถ้าราคาหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วเกิด spinning top แล้วว่าเกิดอาการลังเลของฝั่งผู้ซื้อดังนั้นหุ้นจึงมีโอกาสปรับ
ตัวลง ในทางกลับกันถ้าหุ้นลงอย่างต่อ
เนื่องแล้วเกิด spinning top หุ้นจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้

"Spinning top indicates weaknesss among the bulls or bear, or interruption in trend"


Doji

ราคาเปิดกับราคาปิดไม่
จำเป็นต้องเท่ากันพอดี แต่ใกล้เคียงกันก็ถือว่าเป็น Doji

doji ถ้าเกิดต่อจาก candlestick ที่มี body เล็กเขาจะไม่นำมาพิจารณาครับ เขาจะให้ความสำคัญกับ candlestick ที่มี body ยาวมากกว่า

เราลองว่าดูกันว่าเขาพิจารณากันอย่างไร



เมื่อเกิด doji หลังจาก long white candle นั้นหมายถึงกำลังใกล้จบรอบขาขึ้น แสดงถึงผู้ซื้อจะลดลง กำลังซื้อต่อเนื่องได้ลดลง ทำให้กดดันรอบขาขึ้น ซึ่งจะเกิด downside รึเปล่าต้องดู pattern ต่อจากนี้ด้วยว่ายืนยันขาลงตามมารึเปล่า อย่างเช่นเกิด gap down หรือ long back candlestick หรือเปิดสูงปิดต่ำ

ดังนั้นหลังจากเกิด doji แล้วยังสรุปไม่ได้ทันที แต่เราต้องเตรียมระวังและสังเกต pattern ขาลงต่อไปตามลำดับ
และวิธีใช้ doji ในหุ้นขาลงก็ทำนองเดียว

Long-legged Doji Candlestick example from StockCharts.com

Long-Legged Doji
อันนี้ก็เหมือน Doji เพียงแต่จะมีขาที่ยาวมากนั้นหมายถึง ผู้ซื้อ ผู้ขายจำนวนเยอะมาก ไม่สามารถตัดสินใจได้

Dragonfly Doji Candlestick example from StockCharts.com

Dragon Fly Doji

แสดงถึง ผู้ขายเข้ามาขายจำนวนมากในตลาดก่อนจะมีผู้ซื้อเข้ามาซื้อจนดันราคาไปปิดเท่ากับราคาเปิด

หลังจาก downtrend เป็นเวลานานๆ หรือเกิด long black candle stick หรือที่เส้น support, Dragon fly doji อาจหมายถึงสัญญาณกลับตัว เป็นนัยว่าอาจจะเกิด bullish ตามมา หรือนี้อาจจะเป็น bottom ไปแล้วก็ได้

และในทางกลับกัน หลังจาก uptrend เป็นเวลานานๆ หรือเกิด long white candlestock หรือที่เส้นแนวต้าน เส้นที่ใต้ตูดของ dragon fly doji อาจหมายถึงสัญญาณขายที่เข้ามามากขึ้น นั้นอาจจะตีความได้ว่ามีโอกาสเป็น Top หรือสัญญาณกลับตัวของขาขึ้นก็ได้

Gravestone Doji

แสดงถึงแรงซื้อที่เข้ามากระทำเป็นจำนวนมาก ก่อนเวลาต่อมาจะถูกขายจนราคาลงมาที่เดิม

ส่วนมากมักจะเกิดตอน Uptrend ซึ่งหมายความว่า Rally หุ้นสะดุดแล้ว ให้ระวังได้แล้ว ซึ่งเมื่อเกิดหลังจาก long uptrend, long white candlestick หรือ ที่เส้นแนวต้าน อาจจะหมายถึงสัญญาณกลับตัวได้

และถ้าเกิดในขณะ downtrend, long black candlestick หรือที่เส้นแนวรับอาจจะหมายถึงสัญญาณกลับตัวได้ที่กำลังจะตามมา

ผมขอจบ part 1 ก่อนนะครับ เดี๊ยวมาต่อ part 2 เรื่องของ candlestick position

boyles