วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เทคนิคการอ่าน volume และพฤติกรรมตลาด

เทคนิคการอ่านโวลุ่มในการเล่นหุ้น Tape Reading By Linda Bradford Raschke

วันนี้นำเรื่องน่าสนใจอีกเรื่องมาให้อ่านกันครับ เป็นเรื่องที่หาข้อมูลศึกษาค่อนข้างยากพอสมควรแม้จะเป็นในต่างประเทศก็ตาม ผมพยายามหาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ที่ยังมีขายกันอยู่ก็มีเพียงไม่กี่เล่มที่เป็นหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะเท่านั้น นั่นก็คือเรื่องของการอ่านโวลุ่มการซื้อขายจากบิด-ออฟเฟอร์ หรือที่เรียกกันว่าTape Reading ครับ โดยวันนี้ผมนำมาจากบทความของคุณ Linda Bradford Raschke เจ้าเก่ามาให้อ่านครับ

วิธีการเล่นหุ้น วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค

การอ่านโวลุ่มการซื้อขายจากบิด-ออฟเฟอร์ในการเล่นหุ้น

ในบางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่ดีที่เราจะย้อนกลับมาทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดง่ายๆ ในขณะที่ตลาดหุ้นกำลังมีความผันผวนที่สูงมากอย่างในขณะนี้ ถึงแม้ว่าระบบการลงทุนและรูปแบบของราคาต่างๆนั้น จะมีประโยชน์เป็นอย่างมากในการที่จะวิเคราะห์ถึงสภาพการณ์โดยรวม แต่อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่ง Richard Dennis ก็ยังเคยพูดถึงการเรียนรู้ที่จะ “คาดการณ์” สัญญาณซื้อ-ขายที่จะเกิดขึ้นขึ้น เพื่อที่ในบางครั้งอาจช่วยในการขายหุ้นได้เร็วขึ้น และช่วยในการแยกแยะว่าการซื้อ-ขายของเราในครั้งนี้ได้ผลหรือไม่

วิธีการเล่นหุ้น วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค

การอ่านโวลุ่มการซื้อขายหุ้นด้วย Tape Reading

“เทคนิคในการเล่นหุ้นต่างๆนั้น แท้จริงแล้วก็คือความสามารถเฉพาะตัวของนักเล่นหุ้น จากการที่เขาได้เรียนรู้ สังเกต และทำการทดลองสมมุติฐานของเขา เพื่อช่วยในการที่จะหาสัญญาณซื้อ-ขายหุ้นในสภาวะต่างๆของตลาดนั่นเอง”

-George Douglas Taylor

วิธีการเล่นหุ้น วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค

เราอาจกล่าวได้ว่า Tape reading นั้น คือการศึกษาและฝึกฝนการเคราะห์หุ้นจากโวลุ่มและการเคลื่อนไหวของราคา ที่เกิดขึ้นในรูปแบบของ Ticker Tape ของคนสมัยก่อน เพื่อช่วยในการคาดการณ์ถึงสภาพของตลาดในขณะนั้นนั่นเอง

แท้จริงแล้ว Tape Reading นั้นไม่มีอะไรที่มากไปกว่าการมองไปที่ราคาของหุ้นแล้วถามตัวคุณเองว่า “ในตอนนี้นั้นราคาอยู่ในแนวโน้มขึ้นหรือลง?” มันไม่มีความเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคสมัยใหม่ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือการเปิดใจของคุณให้กว้างเอาไว้ตลอดเวลา

แม้กระทั่งนักเล่นหุ้นมือใหม่นั้น ก็ยังมีความสามารถที่จะสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นกับราคาหุ้นได้ว่า มันกำลังวิ่งขึ้นหรือวิ่งลงในขณะนั้น หรือแม้กระทั่งรู้ได้ว่าราคาหุ้นนั้นไม่ได้วิ่งไปไหนเลย (ราคาหุ้นไม่จำเป็นที่จะต้องเคลื่อนไหวไปมาตลอดเวลาก็ได้!) และมันยังก็ยังเป็นการง่ายมากที่จะสังเกตเห็นว่า ราคาหุ้นได้วิ่งขึ้นไปและเริ่มที่จะหยุดนิ่งเช่นกัน ถึงแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะก็ตาม

วิธีการเล่นหุ้น วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค

หุ้น LindaRaschkeฉันได้รู้จักกับนักเก็งกำไรมืออาชีพหลายต่อหลายคนจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในอาชีพของฉัน จริงๆแล้วฉันไม่อยากที่จะทำให้คุณผิดหวังหรอกนะ แต่ฉันอยากจะบอกว่า ฉันรู้จักคนแค่เพียงสองคนเท่านั้น ที่สามารถที่จะหาเลี้ยงตนเองได้จากการเล่นหุ้นด้วยการใช้ระบบการลงทุนอัตโนมัติในการเล่นหุ้น (ไม่นับรวมคนที่เป็นผู้บริหารกองทุนชั้นนำ) นักเก็งกำไรที่สามารถอยู่ได้ด้วยการเล่นหุ้นนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะมีความสามารถในการที่จะวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ

หากคุณนั้นสามารถที่จะวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาได้ล่ะก็ นั่นหมายถึงว่าคุณจะมีความได้เปรียบกว่านักเก็งกำไรคนอื่นได้ถึงสองก้าวเลยทีเดียว เนื่องจากว่าราคาที่เคลื่อนไหวอยู่นั้นคือข่าวสารที่เร็วที่สุดมากกว่าสิ่งใดๆนั่นเอง คุณอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ข้อมูลที่เป็นความจริงนั้นอยู่ในการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั่นเอง” งานของคุณในฐานะของนักเก็งกำไรหุ้นจะง่ายขึ้นกว่าเดิมเป็นสิบๆเท่าหลังจากคุณได้ยอมรับความจริงข้อนี้ นั่นหมายถึงคุณควรที่จะ เลิกฟังข่าวสาร, ความเห็น, หรือแม้กระทั้งความคิดของใครบางคนนั่นเอง

วิธีการเล่นหุ้น วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค

แน่นอนว่า การจ้องมองไปที่การเคลื่อนไหวของราคาอย่างเดียวนั้นสามารถที่จะสร้างความสับสนกับคุณเป็นอย่างมาก หากคุณนั้นไม่มีแนว ทางในการวิเคราะห์มัน เปรียบเหมือนกับการล่องเรืออกทะเลโดยไม่มีหางเสือนั่นเอง คุณจะโดนคลื่นซัดไปซัดมาอยู่กลางทะเลโดยไม่รู้ว่าจะไปทางใด อย่างไรก็ตาม มีเทคนิคหลักๆอยู่ 2 อย่างในการวิเคราะห์ถึงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น อย่างแรกก็คือ การเปรียบเทียบราคาในปัจจุบันกับ “จุดอ้างอิง” บางอย่าง และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนักเล่นหุ้นหลายๆคนจึงเลือกที่จะใช้ แนวรับ-แนวต้านนั่นเองซึ่งมันก็ใช้ได้ผลดีทีเดียว มันคือหนทางที่ง่ายที่สุดที่คุณจะสามารถบอกได้ว่า ตลาดกำลังวิ่งไกลออกไป หรืออยู่ใกล้ๆจุดอ้างอิงนั้น และนี่เป็นเหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ว่า ทำไมคุณจึงสามารถที่จะรับความรู้ได้ดีกว่า หลังจากที่คุณได้เข้าซื้อหุ้นไป เพราะจุดอ้างอิงที่ว่านั้นก็คือ ระดับราคาของหุ้นในขณะที่คุณได้เข้าซื้อไปนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม จุดอ้างอิงบางอย่าง เช่น จุดสูงสุด-ต่ำสุดในแต่ละวันนั้น อาจมีความสำคัญมากกว่าจุดอ้างอิงอื่นๆ (ซึ่งบางคนอาจเถียงว่าจุดอ้างอิงบางจุดที่พวกเขาได้คำนวณเอาไว้มีความสำคัญมากกว่า ซึ่งฉันคงไม่ไปเถียงด้วยหากว่ามันสามารถใช้ได้ดีกว่าจริงๆ) ฉันมักที่จะเพ่งสมาธิและให้ความสำคัญไปที่แนวรับ-แนวต้านซึ่งทุกคนที่มีส่วนร่วมอยู่ในตลาดเห็นพ้องกัน พูดย่อๆแล้วก็คือ เมื่อคุณต้องการจะวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคานั้น คุณจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ นั่นก็คือ มันวิ่งไปไกลแค่ไหน เร็วแค่ไหน และในทิศทางใดนั่นเอง โดยคุณจำเป็นที่จะต้องมีจุดอ้างอิงสองจุดในการที่จะวัดสิ่งต่างๆเหล่านี้ นั่นก็คือ ระดับราคาในขณะนี้ และระดับแนวรับ-แนวต้านนั่นเอง

*อย่าเอาแต่มองไปที่ราคาเพียงอย่างเดียว คุณควรมองราคาของหุ้นด้วยความพยายามที่จะวิเคราะห์ถึงบางสิ่ง หรือไม่ก็เพื่อคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อถึงระดับราคานั้นๆ

การตอบสนองของตลาด (Market Response)

วิธีการเล่นหุ้น วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค

“การศึกษาต่อการตอบสนองของตลาดในรูปแบบต่างๆ จะช่วยให้เรามีแนวทางในการวิเคราะห์ทางเทคนิคซึ่งมีความสมบูรณ์ที่มากขึ้น”

-Rollo Tape(Richard Wyckoff), 1910

วิธีการเล่นหุ้น วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค

เทคนิคข้อที่สองในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคานั้นก็คือ การอ่านการตอบสนองของตลาดในสภาวะต่างๆ หรือพูดอีกอย่างก็คือ การคาดการณ์ถึงพฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นมานั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น หากว่าตลาดนั้นอยู่ในช่วงที่มีความผันผวนน้อยมากๆ และได้เริ่มวิ่งทะลุออกไปจากกรอบของมัน เราอาจจะคาดหวังถึงพฤติกรรมของตลาดว่ามันควรจะเริ่มเกิดความเร่งในการเคลื่อนไหวของราคาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และไม่ควรที่จะพบกับแรงต้านอย่างรวดเร็วนั่นเอง หรืออีกตัวอย่างก็คือ หากเราต้องการที่จะทำกำไรจากทิศทางหลักของการเคลื่อนไหวของราคาล่ะก็ หากว่าราคาของหุ้นนั้นเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วในตลาดที่มีแนวโน้มอย่างชัดเจนแล้วเกิดการหยุดพักลงมาอย่างบางเบา เราสามารถที่จะคาดการณ์ได้ว่าราคาของหุ้นนั้นจะกลับมาวิ่งต่อในทิศทางเดิมของแนวโน้มหลักอีกครั้ง เมื่อไหร่ที่เรานั้นรู้ว่าเราควรที่จะคาดหวังพฤติกรรมอะไรจากมันนั้น มันจะเป็นการง่ายขึ้นในการที่จะวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคา เพื่อที่จะดูว่ามันทำตัวอย่างที่เราหวังเอาไว้หรือไม่นั่นเอง

ยกตัวอย่างเช่น ตลาดนั้นตกลงมาอย่างรุนแรงหลังจากเกิดข่าวร้ายขึ้นหรือไม่? เมื่อหุ้นพักตัวมันสามารถหาแนวรับเจออย่างรวดเร็วหรือไม่หลังจากที่มันวิ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง? มันวิ่งไปเจอกับตอ..หรือกำแพงแนวต้านแล้วหล่นกระแทกลงมาหรือไม่ แนวต้านนี้แข็งแกร่งแค่ไหน? และสิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของการคาดหวังการตอบสนองของตลาดในสถานการณ์ต่างๆนั่นเอง

จริงๆแล้ว Tape Reading นั้น ก็เหมือนกับการเล่นเทนนิส แล้วมองดูว่าคู่ต่อสู้ของคุณนั้นตีลูกบอลกลับมาอย่างไรนั่นเอง

ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในการที่จะเรียนรู้พฤติกรรมของการเคลื่อนไหวของราคา และการเก็บสะสมประสบการณ์สำหรับความเป็นนักเล่นหุ้นหรือเก็งกำไรนั้นก็คือ การเรียนรู้ว่าเรานั้นควรที่จะคาดหวังถึงสิ่งใดนั่นเอง หลังจากนั้นคุณจึงเรียนรู้ต่อไปว่าอะไรคือสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นจากการตอบสนองของตลาด มันจะง่ายมาขึ้นในการที่จะคาดหวังถึงการตอบสนองซึ่งมักจะเกิดขึ้นในอัตราส่วนที่มากกว่า เช่นมองหาสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆประมาณ 70% แทนที่จะเป็น 30% นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การตอบสนองที่ผิดไปของตลาดนั้นก็สามารถที่จะกลายเป็นกลยุทธ์ในการทำกำไรที่ดีได้เช่นกันเมื่อมันเกิดขึ้น ในบางครั้งแล้ว สัญญาณที่ถือเป็นสัญญาณหลอกอาจสามารถทำกำไรให้คุณได้มากกว่าสัญญาณที่เป็นจริงก็ได้ ยกตัวอย่างสัญญาณหลอกเช่น เมื่อราคาของหุ้นนั้นเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆของแนวรับ-แนวต้าน หรือที่เรียกว่า รูปแบบสามเหลี่ยม (Classic Triangle Pattern) เรานั้นมักคาดหวังที่จะเห็นว่าเมื่อราคาของมันทะลุออกไปในทางใดทางหนึ่งนั้นควรที่จะมีการซื้อ-ขายตามมาอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หากว่าราคาของหุ้นได้ทะลุตกลงมานิดหน่อย แล้ววกกลับขึ้นไปพร้อมกับโวลุ่มและโมเมนตัมที่เพิ่มขึ้น และวิ่งทะลุกรอบแนวต้านขึ้นมาล่ะก็ บางทีจุดกลับตัวที่ยิ่งใหญ่อาจกำลังเกิดขึ้นแล้วก็ได้ และมันอาจจะทำให้ราคาหุ้นยังจะวิ่งขึ้นไปอีกพอสมควรนั่นเอง

เคล็ดลับเล็กๆน้อยอย่างสุดท้ายนั่นก็คือ การมองไปที่ราคาในภาพของ “ระดับ” ของราคาต่างๆเช่น S&P ได้วิ่งมาถึงระดับ 1100 แล้ว หรือระดับ 1060 คือจุดต่ำสุดของรอบ โดยที่ทุกๆ 10 หน่วยนั้นหมายถึงระดับราคาหนึ่งระดับนั่นเอง คุณควรใช้เลขกลมๆในการที่จะเป็นจุดอ้างอิงสำหรับแต่ละระดับ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณควรที่จะซื้อ-ขายตามตัวเลขเหล่านี้ มันเป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการจัดระเบียบของข้อมูลต่างๆที่เกิดขึ้นซึ่งเหล่านักเก็งกำไรมืออาชีพได้ฝึกฝนกันโดนสัญชาติญาณนั่นเอง

วิธีการเล่นหุ้น วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค

แนวรับ-แนวต้าน

นักเล่นหุ้นซึ่งมีความฉลาดหลักแหลมนั้นจะจดจำจุดต่ำสุด-สูงสุดของราคาหุ้นในวันก่อนหน้าได้เป็นอย่างดี และเขานั้นก็ยังรู้ถึงจุดต่ำสุด-สูงสุดของหุ้นในวันนี้อีกเช่นกัน นอกจากนี้เขายังสนใจเกี่ยวกับราคาเปิด ซึ่งสามารถที่จะบอกให้เราทราบได้ว่าเมื่อเปิดตลาดนั้น แรงซื้อหรือแรงขายเป็นผู้ที่ควบคุมตลาดอยู่

จุดต่ำสุด-สูงสุดของวันก่อนหน้า และราคาเปิดของวันนี้นั้นมีผลอย่างมากต่อจิตวิทยาการลงทุนของนักเล่นหุ้นในตลาด และเป็นจุดซึ่งเป็น “แนวรับ-แนวต้าน” ที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งที่คุณควรที่จะรู้เอาไว้ และโดยการที่คุณเพิ่งสมาธิและให้ความสำคัญไปยังพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาใกล้ๆระดับเหล่านี้นั้น จะช่วยให้คุณสามารถลดงานในการอ่านโวลุ่ม บิด-ออฟเฟอร์ของคุณออกไปได้มากทีเดียว เพราะหลายต่อหลายครั้งนั้น ตลาดจะเปิดเผยสิ่งต่างๆออกมาก็ต่อเมื่อมันเข้าใกล้ระดับที่สำคัญนี้นั่นเอง

ระดับของจุดต่ำสุด-สูงสุดของวันก่อนหน้านั้นมักที่จะอยู่ในระดับหนึ่งในกรอบของราคา คุณควรพยายามที่จะหาทางขายทำกำไรทันทีเมื่อราคาแตะระดับเหล่านี้ในตลาดที่เคลื่อนที่อยู่ในกรอบแคบๆหรือ Side Way Market แต่ในตลาดซึ่งมีแนวโน้มที่ชัดเจนนั้น ราคาของหุ้นมักที่จะวิ่งทะลุระดับเหล่านี้ไปสักพักก่อนที่จะเริ่มพักตัวลงมา และเมื่อตลาดนั้นมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งมากๆล่ะก็ ราคาเปิดของมันก็มันจะกลายเป็นระดับที่สำคัญที่สุดขึ้นมาทันที

หุ้น tickertape 5

Ahhh ...."Whooooooooooooshh"

หากว่าเรานั้นมองไปที่จุดต่ำสุด-สูงสุดของวันก่อนหน้า และราคาเปิดในมุมมองของแนวรับ-แนวต้านนั้น เราก็สามารถที่จะมองไปที่การเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นว่า มันได้เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วและพลุ่งพล่านหลังจากที่มันได้ข้ามผ่านระดับเหล่านี้ไปได้หรือไม่อะไรคือพฤติกรรมของความ “พลุ่งพล่าน” ของราคาหุ้นน่ะหรือ? มันเป็นสิ่งที่ฉันมักจะเรียกเอาเองว่า “วูชชชช” ซึ่งคล้ายกับว่าราคาได้วิ่งไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันพึ่งมีชีวิตขึ้นมาเป็นครั้งแรกไงล่ะ โดยที่มันมักที่จะวิ่งขึ้นไปหลายช่วงราคาอย่างรวดเร็วโดยไม่มีแรงสวนลงมาสักช่องเดียว เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นนั้น ราคาของหุ้นมักที่จะพักตัวลงมานิดเดียวเพียงชั่วครู่ แล้วตามมาด้วยการวิ่งไปอย่างรวดเร็วและพลุ่งพล่านที่มากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง ซึ่งหากว่าคุณลองวัดหรือเก็บสถิติรูปแบบการเคลื่อนไหวแบบ “วูชชชชชชช” ที่เกิดขึ้นนี้ล่ะก็ คุณจะพบว่าราคาของหุ้นมักที่จะพักตัวแล้ววิ่งไปต่อมากถึง 2 ใน 3 ครั้งเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยสำหรับการที่จะทำให้คุณมี “กำไรคาดหวัง หรือ Expectation ที่เป็นบวกได้” จากเพียงแค่คุณพยายามมองหาการเคลื่อนไหวในรูปแบบง่ายๆนี้

วิธีการเล่นหุ้น วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค

เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว Tape Reading นั้น ไม่ใช่การวิเคราะห์ไปถึงออเดอร์ที่ผ่านเข้ามาในทุกๆครั้ง (นั่นจะกลายเป็นงานที่หนักทีเดียว) แต่มันคือการเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและพลุ่งพล่านอย่างผิดปกติ โวลุ่มที่เข้ามาอย่างผิดปกติ หรือแม้กระทั่งสังเกตอาการของราคาหุ้น ณ ระดับที่สำคัญต่างๆ การเคลื่อนไหวของหุ้นแต่ละรอบที่ขึ้นหรือลงนั้น มีผลต่อการคาดคะเนถึงการเคลื่อนไหวในรอบต่อไปเช่นกัน หน้าที่ของเราคือการเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของราคานั้นว่ามันจะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั่นเอง

Tape Reading นั้นถือเป็นหัวใจอย่างหนึ่งสำหรับผู้ที่เล่นหุ้นในรูปแบบ Swing Trading เลยทีเดียว เมื่อเราต้องการที่จะวิเคราะห์ถึงการเคลื่อนไหวในระยะสั้นนั้น การใช้อินดิเคเตอร์อาจกลายเป็นสิ่งที่ช้าเกินไปขึ้นมา

ท้ายที่สุดนี้ นักเล่นหุ้นและนักเก็งกำไรทุกคนจึงควรที่จะรู้สึกถึงความเป็นอิสระ จากการที่พวกเขาสามารถที่จะใช้การอ่านกราฟเพื่อที่จะวางแผนการลงทุนของเขา และสามารถที่จะบอกได้ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ขณะนี้นั้นมันผิดหรือไม่จากการที่เขาสามารถอ่านบิด-ออฟเฟอร์ หรือใช้ Tape Reading ได้เป็นอย่างดีนั่นเอง

ขอบคุณบทความนี้ นำมาจาก blog ของคุณมดครับ ไปเยี่ยมได้ที่

http://mangmaoclub.com/tape-reading-linda-1/

http://mangmaoclub.com/tape-reading-linda-2/

boyles

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Dow Theory ต้นกำหนดสรรพสิ่ง เทคนิคและระบบ

Dow Theory คืออะไร และทำไมถึงน่าสนใจ ผมจะลองสรุปเท่าที่รวบรวมข้อมูลได้นะครับ

Dow Theory คือ ทฤษฎีที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยนายชาร์ลส์ เอช ดาว (Charles H. Dow) ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค เมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว แต่กฏ และหลักการของดาว ยังคงใช้ได้ตราบจนถึงปัจจุบัน หลักการนี้มิได้พูดถึงเพียงการวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือ การเคลื่อนที่ของราคาหุ้น แต่สิ่งนี้ถือเป็นปรัญญาของตลาดหุ้น ที่อธิบายถึงพฤติกรรมของตลาดหุ้นที่ยังคงเหมือนเดิม เกิดขึ้นซ้ำๆเฉกเช่นเดียวกัน กับตลาดหุ้นเมื่อ 100 ปีที่แล้ว

ทำไม Dow Theory จึงน่าสนใจ ?

ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อ 100 ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน หลักการของดาวก็ยังเป็นจริงอยู่ พิสูจน์ได้อยู่ การเคลื่อนไหว การเก็งกำไรในตลาดหุ้นก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าทฤษฎีอาไรก็ตามที่เกิดในปัจจุบันล้านแล้วแต่มีจุดเริ่มต้นจาก Dow theory ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น elliott wave ระบบต่างๆในปัจจุบันเช่น peak and through system ดังนั้นถ้าเราจะเรียนรู้เพื่อเขียนระบบการเทรดของเราขึ้นมาเอง เราควรจะอิงทฤษฎีดาวด้วย

มีหลายต่อหลายคนพยายามคิดทฤษฎีใหม่ วิธีการเทรดใหม่ๆ ขึ้นมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จและเสียเวลามากมายไป ดังนั้นเราอาจจะมี 2 ทางเลือก คือ 1. คิดค้นขึ้นใหม่ อย่างเช่น buffet เราก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเทรดด้วยวิธีอาไร เช่นกันทฤษฎีดาวก็ถูกเปิดเผยหลังจากดาวตายไปแล้วเช่นกัน ถ้าเราคิดผิด มันก็แลกด้วยเวลาของเราเช่นกัน 2. ทำตาม เรียนรู้สิ่งที่มันสามารถใช้ทำเงินให้กับเราได้จริง

สำหรับผม ผมเลือกวิธีที่ 2 เพราะผมคิดว่าคงไม่สามารถมีเวลา ไปนั่งคิด ทดลองอาไรขึ้นมาใหม่ๆ ดังนั้นการเทรดโดยใช้ทฤษฎีที่ใช้ได้มาเป็นเวลา 100 ปี และในปัจจุบันก็ยังเป็นจริงอยู่ จึงน่าสนใจที่เราจะเรียนรู้

ต่อไปเราจะมาดูว่าทฤษฎีดาวว่ามีอาไรบ้าง

1. The Averages Discount Everything
2. The Market is comprised of three trends
- Primary trend (>1 year)
- Secondary Trend or intermediate trend ( 1-3 months)
- Minor trend ( Day - 3 weeks)
3. Primary trends have three phases: 1. accumulation 2. public participation 3. Distribution
4. The averages must confirm each other
5. the volume confirms the trend
6. A trend Remains intact until it gives a definite reversal signal

หลังจากเราได้หัวข้อใหญ่ๆแล้ว แล้วมาดูรายละเอียดของแต่ละหัวข้อกัน

1. The Averages Discount everything.

ราคาคือบทสรุปของทุกอย่างเหมือนกับหัวข้อที่เคยพูดไปแล้ว Market Action Discounts everything ยังคงเป็นหลักการเดิม ไม่ต้องพิจารณา Fundametal Factors เพราะมันอาจทำให้เราสับสน หลายๆคนคงไม่เห็นด้วยแต่มัน make sense สำหรับคนไม่มีความรู้เกี่ยวกับพื้นฐาน อย่างเช่น นักบัญชี หรือนักเศรษศาสตร์ ก็ไม่สามารถทำกำไรได้ในตลาดหุ้นได้

2. The market has Three Trends Uptrend, Downtrend and Sideway
2.1 Primary คือ Trend ใหญ่มักยาวเป็นปี
2.2 Secondary คือ Corrections การปรัฐานมักใช้เวลา 2 - 3 สัปดาห์ จนถึง 2 - 3 เดือน

2.3 Minor คือ Ripples เล็กๆใน correction


ต่อไปจะภาพตัวอย่าง ขออนุญาตเอา file สัมมนาของลุงโฉลกมาประกอบนะครับ เป็นรูปที่เข้าใจง่ายดี และเหมาะเอาไว้ดูทบทวนด้วย

สิ่งสำคัญอันดับต้นๆเราต้องอ่าน Trend ให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาเลือก indicators ต่างๆ มาจะ Trade อย่างไร

3 Major Trend Has Three Phases ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นที่มาของทฤษฏี Elliot Waves
1. Accumulation (Wave 1&2) สะสมหุ้น
2. Public Participation (Wave 3&4) นักลงทุนทั่วไปเริ่มเข้ามา
3. Distribution (Wave 5) เป็น wave ของการขายทำกำไร จะเป็นคลื่นสุดท้ายของการเก็งกำไร และเป็นคลื่นที่แมงเม่าเริ่มเข้ามา

4. The Averages must confirm each other
หมายความว่าถ้า industrial index ขึ้น transport index ก็ควรจะขึ้นเหมือนกัน trend ควรจะ confirm กัน ถ้าตัวนึงขึ้น อีกตัวลง แสดงว่าขัดกัน เศรษฐกิจยังไม่ไป ประเทศไทยยังไม่มี ดูได้แต่ Set อย่างเดียว

คือถ้าบริษัทขนส่ง ขนของดีแสดงว่าบริษัทจะต้องมียอดขายดี ดังนั้นหุ้นขนส่งควรจะสัมพันธ์กับหุ้นอุตสาหกรรมต่างๆด้วย

5. Volume must confirm the thrend
Volume ควรจะสนับสนุนของขึ้น ลง ของ Trend ด้วย ลุงโฉลกไม่แนะนำให้ดูมาก เพราะมันไม่ชัดเจน เพราะถ้าหุ้นขึ้น volume มันต้องเยอะตามอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่มีคนซื้อหุ้นจะขึ้นได้ยังไง

แต่หลักการข้อนี้ ก็สามารถเอาไปใช้ได้ในการระวังการเคลื่อนไหวของตลาดจริง ถ้าหุ้นลง volume เยอะตามให้เราเตรียมระวังเพราะมันมีโอกาสสูงที่จะลงต่ออีกหลายวันได้ ในทางกลับกันหุ้นในหุ้นขาขึ้นเช่นกัน แล้วเราจะรู้ได้ยังไงมาตอนไหนเรียกว่า volume เยอะหรือน้อย ตามความเข้าใจผมเราอาจจะใช้ค่า average ของ volume ในช่วงขณะนั้นเป็นเกณฑ์ ยังไงลองสังเกต แล้วลองเอาไปทดลองดู

6. A trend is assumed to be in effect until it gives definite signals that it has reversed
เมื่อราคาขึ้นจะขึ้นต่อ และเมื่อราคาลงจะลงต่อ จนกว่าจะมีสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน

The use of closing prices and presense of lines
Dow ใช้เฉพาะ Closing prices ไม่ใช้ intraday และใช้ดูสัญญาณ Reversal จาก Bear มาเป็น bull เมื่อ new trough > previous trough และ closing price > previous peak ( Peak & trough System)

Some Criticisms of Dow theory
เพราะทฤษฏีเรื่องการเปลี่ยน Trend ทำให้ Dow Theory จะเข้า ออก ช้าเกินไปเสมอ และจะขาดทุนกำไรประมาณ 20 - 25% นักลงทุนทั่วไปพยายามหาวิธี Trade ทีั่ดีกว่า Dow's Theory แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังสงสัยว่าจะมีระบบอะไรที่ทำได้ดีกว่า ลุงโฉลกได้แนะนำการใช้ระบบ Peak and trough System โดยปรับเปลี่ยนนิดหน่อย แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมมาก แต่สิ่งสำคัญเราต้องรู้จักวิธีการใช้ ข้อดี ข้อเสียด้วย ไว้จะ Update อีกที


boyles

ที่มา www.chaloke.com
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/06/I7943662/I7943662.html