วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

ความสัมพันธ์ของตลาดโลก น้ำมันดิบ และตลาดหุ้นไทย



ความสัมพันธ์ของตลาดโลก น้ำมันดิบ และตลาดหุ้นไทย

ขอสรุปการทดลอง 15 ปีหลัง 2000-2015 ดังนี้
1. Energy มีความสัมพันธ์กับ Set50 ประมาณ 80-90% (มีบ้างช่วงที่ไม่วิ่งตามกัน)
2. Crude oil กับ กลุ่ม Energy บ้านเรา มีความสัมพันธ์กัน 70-80% 
3. ดังนั้น set50 ในช่วง 15 ปีหลัง มีความสัมพันธ์กับ Crude ประมาณ 60-70%
4. ความสัมพันธ์ในทาง จุดต่ำสุด(bottom) สำหรับ จุดต่ำสุด 58 คั้รงของ set50 เป็นช่วงเวลาเดียวกับ S&P ทำจุดต่ำสุด 52 ครั้ง และตรงกับ Bottom น้ำมัน 34 ครั้ง คิด +- หน้าหลังครอบคลุม 10 วัน
5. ความสัมพันธ์ในทาง จุดสูงสุด 60 ครั้งของ set50 เป็นช่วงเวลาเดียวกับ S&P ทำจุดสูงสุด 49 ครั้ง และตรงกับ น้ำมัน 29 ครั้ง( คิด +- หน้าหลังครอบคลุม 10 วัน)
6. ดังนั้น จากสถิติ ที่ Set50 กับ S&P ทำจุดต่ำสุดในช่วงเวลาใกล้ๆกัน มากถึง 89% ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา และทำจุดสูงสุดใกล้เคียงกัน 82% มากกว่าน้ำมันเยอะ
7. ดังนั้นสรุปจากการย้อนหลัง 15 ปีความสัมพันธ์ น้ำมันในตลาดโลกจะมีความสัมพันธ์กับ Set50 ในรูปแบบของเทรนมากกว่า ส่วนจุดสูงสุด ต่ำสุดในตลาดโลก อย่าง S&P ดูจะมีความสัมพันธ์ของจุดสูงสุด ต่ำสุด จากสถิติที่ทำให้ไว้

จากปี 2015 เราจะเห็นว่าจุดสูงสุด ต่ำสุดของตลาด S&P ใกล้เคียงกันมาก จนช่วงท้ายปีที่จุดต่ำสุด ของ S&P ไม่ใช่ช่วงเวลาเดียวกันกับ Set50 เนื่องจากเทรนน้ำมัน มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนตัวของ Set50 มากกว่า

การพยากรณ์การเทรดน้ำมัน และคาดการณ์จุดซื้อ หรือจุดสูงสุดในตลาดต่างประเทศจึงมีประโยชน์ต่อการเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยเช่นกันสำหรับ Future Set50

Boyles Bigmove Club

ความสัมพันธ์ของตลาดโลก น้ำมันดิบ และตลาดหุ้นไทย


ความสัมพันธ์ของตลาดโลก น้ำมันดิบ และตลาดหุ้นไทย

ขอสรุปการทดลอง 15 ปีหลัง 2000-2015 ดังนี้

1. Energy มีความสัมพันธ์กับ Set50 ประมาณ 80-90% (มีบ้างช่วงที่ไม่วิ่งตามกัน)
2. Crude oil กับ กลุ่ม Energy บ้านเรา มีความสัมพันธ์กัน 70-80%
3. ดังนั้น set50 ในช่วง 15 ปีหลัง มีความสัมพันธ์กับ Crude ประมาณ 60-70%
4. ความสัมพันธ์ในทาง จุดต่ำสุด(bottom) สำหรับ จุดต่ำสุด 58 คั้รงของ set50 เป็นช่วงเวลาเดียวกับ S&P ทำจุดต่ำสุด 52 ครั้ง และตรงกับ Bottom น้ำมัน 34 ครั้ง คิด +- หน้าหลังครอบคลุม 10 วัน
5. ความสัมพันธ์ในทาง จุดสูงสุด 60 ครั้งของ set50 เป็นช่วงเวลาเดียวกับ S&P ทำจุดสูงสุด 49 ครั้ง และตรงกับ น้ำมัน 29 ครั้ง( คิด +- หน้าหลังครอบคลุม 10 วัน)
6. ดังนั้น จากสถิติ ที่ Set50 กับ S&P ทำจุดต่ำสุดในช่วงเวลาใกล้ๆกัน มากถึง 89% ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา และทำจุดสูงสุดใกล้เคียงกัน 82% มากกว่าน้ำมันเยอะ
7. ดังนั้นสรุปจากการย้อนหลัง 15 ปีความสัมพันธ์ น้ำมันในตลาดโลกจะมีความสัมพันธ์กับ Set50 ในรูปแบบของเทรนมากกว่า ส่วนจุดสูงสุด ต่ำสุดในตลาดโลก อย่าง S&P ดูจะมีความสัมพันธ์ของจุดสูงสุด ต่ำสุด จากสถิติที่ทำให้ไว้

จากปี 2015 เราจะเห็นว่าจุดสูงสุด ต่ำสุดของตลาด S&P ใกล้เคียงกันมาก จนช่วงท้ายปีที่จุดต่ำสุด ของ S&P ไม่ใช่ช่วงเวลาเดียวกันกับ Set50 เนื่องจากเทรนน้ำมัน มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนตัวของ Set50 มากกว่า

การพยากรณ์การเทรดน้ำมัน และคาดการณ์จุดซื้อ หรือจุดสูงสุดในตลาดต่างประเทศจึงมีประโยชน์ต่อการเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยเช่นกันสำหรับ Future Set50
Boyles Bigmove Club

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

มุมมอง หุ้น ทอง น้ำมันและภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2016

จากที่เราสำเรวจภาพรวมในปี 2016 เราคิดว่าตลาดอาจจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่มากมายนัก

เศรษฐกิจ การเงินในทางพื้นฐาน: ดีขึ้นเล็กน้อย




ในทางพื้นฐาน เศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างช้าๆ  เทรนของเงินฝืดทั่วโลกจะเริ่มลดลง การเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2015 จะเริ่มส่งผลในประเทศต่างๆในปี 2016



การเติบโตของบริษัทต่างๆจะเริ่มดีขึ้น และเงินฝืดจะเริ่มลดลงจะทำให้ บริษัทต่างๆจะทำกำไรประมาณ 3-5% ในอเมริกา และจะมากกว่านี้ใน Japan และ Europe เนื่องจากค่าเงินที่อ่อนมาก

สำหรับอัตราดอกเบี้ย เราคาดว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยเกิน 1% จนถึงปลายปี 2016 และน่าจะขึ้นอีกเพียงเล็กน้อยในระยะยาว ซึ่งจากประวัติศาสตร์แล้วตัวเลขนี้ไม่น่าจะส่งผลให้เกิดภาวะ recession

หุ้นในอเมริกาค่อนข้างราคาสูงในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับระดับที่เหมาะสมอย่างในจีน ยุโรปและญี่ปุ่น

เราเชื่อว่า โอกาสที่ดีในการซื้อหุ้นอเมริกาน่าจะเกิดจากการปรับฐาน หรือการเติบโตของบริษัทต่างๆกลับมามากกว่า 5%  ความจริงตัวเลขนี้ก็ไม่ได้มากมายนัก เมื่อเทียบกับ Dollar ที่แข็งค่าขึ้นเทียบกับสกุลเงินอื่น

ในปี 2016  ส่วนที่สำคัญที่สุดคือค่าเงิน Dollar และ ราคาตลาดหุ้นอเมริกาเมื่อเทียบกับปัจจุบัน  โอกาสซื้อที่สำคัญคือการปรับตัวลงของ Dollar index และการปรับฐานของหุ้นอเมริกา (ดอลล์อ่อน กำไรบริษัทดีขึ้น แะหุ้นที่ปรับฐานราคาดีจะเป็นโอกาส)


ในส่วนของยุโรปและเอเชีย


การอ่อนค่าของค่าเงินในประเทศเหล่านี้ จะทำให้การส่งออกดีขึ้น แต่การเติบโตยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ โอกาสในการซื้อหุ้นยังคงต้องเลือกด้วยความระมัดระวัง ปัจจุบันมูลค่า ราคาอยู่ในระดับที่เหมาะสม บริษัที่พื้นฐานดีดูน่าสนใจในการลงทุน

แต่ถ้า Dollar เริ่มปรับตัวลง กำไรในบริษัทต่างๆในอเมริกาจะเพิ่มขึ้น และในยุโรปและเอเชียจะเริ่มลดลง

เมื่อตลาด Commodities สร้างจุดต่ำสุด เราคาดว่าน่าจะประมาณครึ่งปีหลังของปี 2016 ประเทศที่ส่งออก Commodities อย่างพวก Canada และ Australia จะเริ่มน่าดึงดูดในการลงทุน

น้ำมัน ทอง และ Commodities

ความสัมพันธ์ที่ตรงข้ามกับ US Dollar เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่ Dollar หยุดขึ้น Commodities จะวิ่งขึ้น  สองสิ่งสำคัญที่จะส่งผลต่อราคา Commodities ในปี 2016 คือ Dollar และ เงินเฟ้อ

เราไม่คิดว่าจะมีความต้องการ(demand) เพิ่มขึ้นมากในปี 2016 ดังนั้นทองและน้ำมันจะน่าสนใจจากเงินเฟ้อที่เกิดในประเทศที่พัฒนาแล้ว  เราเชื่อว่าเงินเฟ้อจะขึ้นอย่างช้าๆ รวมถึงดอกเบี้ยด้วย
สรุป  ถ้า Dollar ยังขึ้นต่อไป หรือยังไม่กลับตัว เราคิดว่าทองและน้ำมันจะ sideway หรือน่าดึงดูดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น






ดังนั้นจนกว่า Dollar จะกลับตัว หรือ Commdities price จะเจอ bottom จริงๆ ยังอยากให้เล่นทองด้วยความระมัดระวัง หลังจากเล่นขึ้นรอบนี้แล้ว เรายังมีโอกาสที่อาจจะยังเห็น Low ในทองอีก ในช่วงปี 2016

ที่มา: Guild investment
Boyles Bigmove Club