วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

คุณสมบัติเซียน

วันนี้ อาจจะไม่ได้พูดเรื่องเทคนิค แต่หัวข้อน่าสนใจครับ ไม่ได้เฉพาะพื้นฐานนะครับ หลักการประสบความสำเร็จทางด้านเทคนิคก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน จากที่ผมอ่านเซียนหุ้นในหลายๆคนจากต่างประเทศก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ลองมาดูกันนะครับ

การที่จะเป็นนักลงทุนที่ยอดเยี่ยมได้นั้น เราควรจะต้องศึกษาดูว่านักลงทุนระดับโลกหรือนักลงทุนใน “ตำนาน” ส่วนใหญ่เขามีคุณสมบัติ

ข้อแรกที่เป็นพื้นฐานจริงๆ ก็คือ ทุกคนวิเคราะห์หรือมองตัวธุรกิจเป็นหลัก ไม่ได้ “วิเคราะห์หลักทรัพย์หรือหุ้น” ความแตกต่างของสองเรื่องนี้ ก็คือ เซียนนั้น จะวิเคราะห์ว่าธุรกิจมีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร แข่งขันกันอย่างไร ทำกำไรอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร ความเสี่ยงของธุรกิจอยู่ที่ไหน ในขณะที่การวิเคราะห์หุ้นหรือหลักทรัพย์นั้น อาจจะเน้นไปที่เรื่องของความเป็นไปได้ของเหตุการณ์บางอย่าง โอกาส ผลประกอบการระยะสั้น ถ้าจะพูดถึงความเสี่ยงก็อาจจะเน้นไปที่เรื่องของความผันผวนของกิจการหรือตัวหุ้นมากกว่า หรือแนวความคิดอย่างไรต่อการลงทุน เพื่อที่ว่าเราจะได้เอาอย่างเขาบ้าง และต่อไปนี้ คือ คุณสมบัติหรือมุมมอง “ร่วม” ที่นักลงทุนเอกของโลกมี

ข้อสอง เซียนนั้นมักมีวิธีการหรือแนวทางการลงทุนของตนเองที่มั่นคงแน่นอน เรียกว่ามี “สไตล์” เป็นของตนเอง พวกเขาไม่เปลี่ยนไปมา กลยุทธ์หรือแนวทางการลงทุนของพวกเขานั้นมักจะเหมือนเดิมยาวนานเป็นทศวรรษหรือบางคนก็ตลอดชีวิต ในบางช่วงบางตอนกลยุทธ์หรือแนวทางการลงทุนของเขาอาจจะไม่ประสบความสำเร็จนักอาจจะเนื่องด้วยภาวะของตลาดหุ้นที่ไม่เอื้ออำนวยต่อกลยุทธ์นั้น แต่พวกเขาก็มักไม่เปลี่ยนวิธีการเพื่อที่จะให้ “สอดคล้อง” กับสถานการณ์ พวกเขายึดมั่นกับสิ่งที่เขารู้และเข้าใจดีที่สุด เพราะเขาคิดว่า ในระยะยาวแล้ว นั่นคือวิธีการที่ให้ผลดีที่สุดกับการลงทุนของเขา ตัวอย่างก็เช่นในยุคที่หุ้นดอทคอมและหุ้นไฮเทครุ่งเรืองมากนั้น แนวทางและผลการลงทุนของบัฟเฟตต์ดูด้อยลงไปเมื่อเทียบกับเซียนที่เน้นแนวการลงทุนที่หวือหวา อย่างไรก็ตาม หลังจาก “ฟองสบู่” หุ้นไฮเทคแตก แนวทางของบัฟเฟตต์ก็กลับมาได้รับการยอมรับเช่นเดิม

ข้อสาม เซียนนั้นมักมีหลักการลงทุนที่ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย พวกเขาไม่มีสูตรหรือสมการหรือชื่อเรียกที่ต้องใช้แทนด้วยอักษรภาษากรีก ว่าที่จริงหลายคนอาจจะไม่ทำประมาณการกำไรหรือคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทในอนาคตด้วยซ้ำ ความซับซ้อนของตัวเลขถ้าจะมีก็คงเป็นแค่การบวก ลบ คูณ หาร ถ้าจะสรุป ก็คือ หลักการลงทุนของเหล่าเซียนนั้น มักจะสามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดไม่เกินหนึ่งหน้ากระดาษ และการทำงานก็อาจจะใช้แค่เครื่องคิดเลขธรรมดาหรือไม่ก็ “คิดในใจ” ได้

ข้อสี่ การควบคุมอารมณ์ การมีวินัยในการลงทุน และความกล้าหาญหรือความกลัวในเวลาที่ถูกต้อง เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่เซียนหุ้นทุกคนมี เซียนหุ้นมักไม่ตื่นเต้นหรือกลัวเกินกว่าเหตุเวลาประสบกับสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นหรือหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มร้อนแรงมาก หรือประสบกับภาวะวิกฤติที่ผู้คนต่างพยายาม “หนีตาย” จากเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ได้มีผลกระทบรุนแรงอย่างที่ถูก “สื่อ” ออกมาในโลกของการสื่อสารเช่นในปัจจุบัน พูดง่ายๆ เซียนนั้นมีจิตใจที่สงบและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ความอดทนและอดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุนั้นเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากที่ทำให้เซียนไม่ออกนอกแนว หรือกรอบความเชี่ยวชาญของตน

ข้อห้า เซียนนั้น มักเป็น Loner หรือเป็นคนที่ชอบอยู่สันโดษคนเดียวในแง่ของการลงทุน นี่ไม่ได้หมายความว่าเซียนจะไม่คุยกับนักลงทุนคนอื่นหรือไม่ปรึกษาว่าหุ้นตัวไหนน่าลงทุน แต่เซียนมักเป็นคนที่มีความเป็นอิสระสูงในการคิดและตัดสินใจลงทุน พวกเขามีเหตุผลและความเชื่อของตนเองที่มักจะไม่ถูกชี้นำหรือชักจูงโดยคนอื่น ว่าที่จริงเซียนบางคนอย่าง จอห์น เนฟฟ์ นั้นชอบ “ทะเลาะ” ว่ากันว่า ในตอนที่เป็นเด็กนั้น เขาแทบจะ “ทะเลาะกับเสาไฟฟ้า” พอโตขึ้นก็ “ทะเลาะกับตลาดหุ้น” แต่สาเหตุที่ทำให้พวกเขาสามารถคิดและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยตนเองนั้น เป็นเพราะพวกเขาได้ศึกษาและผ่านประสบการณ์มามาก

ข้อหก เซียนนั้นเรียนรู้ความผิดพลาดของตนเองอยู่เสมอ เช่นเดียวกัน พวกเขาเรียนรู้ความผิดพลาดจากคนอื่นด้วย ซึ่งทำให้เขา “เจ็บตัว” น้อยลง การเรียนรู้ความผิดพลาดจากคนอื่นนั้น แน่นอน ต้องศึกษาจากประวัติศาสตร์ ดังนั้น พวกเขาจึงมักเป็นนักอ่านตัวยง โดยเฉพาะด้านประวัติศาสตร์หลายๆ แขนง เช่น ประวัติศาสตร์บุคคล เศรษฐกิจ ตลาดหุ้นและอื่นๆ

ข้อเจ็ด เซียนบางคนนั้น หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นคนที่กล้าอย่างบ้าบิ่น หรืออย่างน้อยก็ต้องกล้ากว่าปกติในการรับความเสี่ยง แต่ข้อเท็จจริง ก็คือ เซียนตัวจริงทั้งหลายนั้นมักจะกล้าเสี่ยงอย่างมีเหตุผลและไม่ว่าในกรณีใด จะไม่เสี่ยงเกินไปแม้ว่าโอกาสในการที่จะชนะจะสูงกว่ามาก พวกเขารู้ว่า ความผิดพลาดและโชคร้ายนั้นสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น การเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์ คือ สิ่งที่จะรับประกันว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ คำว่ากล้าเสี่ยงอย่างมีเหตุผลนั้น ถ้ามองในภาพกว้าง ก็คือ เขาจะเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ เช่น ต้องมีการกระจายการถือหุ้นในระดับหนึ่งไม่ใช่ลงทุนหุ้นเพียงตัวหรือสองตัวหรือตัวเดียวเกินกว่า 50% ของพอร์ต แต่พวกเขาก็จะไม่กระจายความเสี่ยงมากเกินไป เพราะการทำแบบนั้นถึงแม้จะดูว่าความเสี่ยงลดลงแต่ผลการลงทุนก็จะแย่ไปด้วย

ข้อแปด เซียนนั้น “ทำงานหนัก” เซียนทุกคนต่างก็ทำงานมากโดยเฉพาะในการอ่านและคิด และสิ่งที่อ่านและคิดของพวกเขานั้น สุดท้ายก็อาจจะเชื่อมโยงไปสู่การลงทุน เซียนที่เป็นนักบริหารกองทุนรวมนั้น แน่นอน พวกเขายุ่งมากกับงานการลงทุน เวลาว่างของพวกเขาน้อยมากและคนทั่วไปก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นเซียนที่ทำงานหนักมาก อย่างไรก็ตาม เซียนที่บริหารเงินของตนเองอย่างบัฟเฟตต์นั้น หลายคนก็จะมองว่าเขาไม่ได้ทำงานหนักอะไรนักหนา เลิกงานห้าหกโมงเย็นก็กลับบ้านแล้ว ไม่มีการขนงานกลับไปทำที่บ้าน เวลาของเขานั้นมีเหลือเฟือตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่นั่นคือ สิ่งที่ปรากฏจากการมองภายนอก ข้อเท็จจริง ก็คือ เขาใช้เวลาอ่านมากมาย และคนที่อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนได้เท่าเขานั้นผมคิดว่ามีน้อยมาก ว่าที่จริง แม้แต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการลงทุนโดยตรง เช่น เรื่องของสังคมและการใช้ชีวิต เขาก็มีความรอบรู้ไม่น้อยทีเดียว เพียงแต่ว่าเขาอาจจะไม่ได้แสดงออกมามากนัก

ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพียงบางส่วนของคุณสมบัติที่เซียนส่วนใหญ่หรือเกือบทุกคนมี และผมเชื่อว่าคนที่อยากจะเป็นเซียนหรืออยากจะประสบความสำเร็จในการลงทุนจำเป็นต้องมี ดีกรีหรือระดับความเข้มข้นของแต่ละคุณสมบัติของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างรวมถึงจิตวิทยาหรือนิสัยส่วนตัวและสภาพแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่ายิ่งเราปรับตัวเข้าหานิสัยเซียนได้มากขึ้น เราก็น่าจะลงทุนได้ดีขึ้น


ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/nives/20110329/384119/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99.html


boyles

บทสัมภาษณ์เซ๊ยนหุ้น money management บางส่วน

พอดีก็อ่านเรื่อง money management ไปพอสมควรล่ะ ก็ยังไม่มีเวลามา Share เพราะมันเยอะมากจริงๆ + ขี้เกียจพิมพ์ด้วย ก็เลย up วันล่ะนิด จากบทความในหนังสือ market wizard

จากบทสัมภาษณ์เซียนหุ้นต่างๆ มีส่วนนึงที่คล้ายๆกัน ที่เซียนเหล่านี้ให้ความสำคัญในเรื่องของ money management มากพอสมควร

"การจัดการความเสี่ยง คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราควรจะทำความเข้าใจ จงพยายามลงทุนทีละน้อย ทีละน้อย และทีละน้อย คือคำแนะนำอย่างที่สองของผม ไม่ว่าคุณคิดว่าคุณควรจะลงทุนมากเท่าไหร่ คุณควรลดมันเหลือครึ่งนึงเท่านั้น" bruce kovner

"อย่าเสี่ยงเกิน 1 % ของ portfolio ภายในการเก็งกำไรในแต่ล่ะครั้ง การที่ผมยอมเสี่ยงครั้งล่ะไม่เกิน 1 % ของ portfolio นั้นทำให้ไม่มีความแตกต่างระหว่างการเก็งกำไรในแต่ล่ะครั้งเลย และการรักษาระดับความเสี่ยงให้น้อยลงและคงที่นั้นคือ สิ่งที่สำคัญที่สุด" Larry hite

"คุณต้องรู้จักจำกัดการขาดทุนและรักษาเงินต้นของคุณไว้ เพื่อที่จะทำกำไรอย่างมหาศาลและรวดเร็วจากการเก็งกำไรที่ถูกต้องเพียงบางครั้งเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่คุณไม่สามารถรับมือกับมันได้คือ การเสียเงินต้นทั้งหมดของคุณไปจากความผิดพลาดในการเก็งกำไรบางครั้ง" richard dennis

ก็เป็นบทสัมภาษณ์นะครับ แล้วเดี๊ยวจะลงในส่วนที่ไปสัมมนาวันเสาที่ผ่านมา เป็น director ของทางสิงคโปร์เขาสอนถึงเรื่องระบบที่เขาใช้ day trade จิตวิทยา management ในสไตล์เขา ก็พรุ่งนี้จะมา up ให้นะครับ แต่มันเยอะมาก คง up ได้บางส่วนเท่านั้นถึง idea ที่เขามาสอน แล้วก็ share นะครับ

good luck ครับ
boyles

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

link โปรแกรมและ web ดูกราฟทั่วโลก

เพื่อนๆใน group แนะนำมาครับ ต้องขอบคุณจริงๆครับ สำหรับการแบ่งปันครับ ผมเลยขอเอามาลงเก็บไว้ดูครับ


ก็เผื่อเอาไว้ดู dollar index usdthb Gold ได้หมดนะครับลองไปลองเลือกใช้ดูนะครับ

boyles

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

หลักการเทรด commodity ของ larry williams เบื้องต้น

larry update:
Public too long in Cocoa, Crude, Aussie $, Brit Pound, Canadian $, Swiss Franc, Gold, Hogs, Copper, OJ, RB Gasoline, Silver, Oats, Rice, and Wheat มีโอกาสปรับตัวลงรวมทั้ง gold ด้วยนะครับ

Bullish Set ups are: Nat Gas, nikkei, Bonds and Notes along with the entire
Soybean complex (ie beans, oil, and meal).

Seasonally speaking, the 11th and 12th trading day of March have been very
bullish for the SP500.

It's Coming... A Commodity Collapse

I counted them up this weekend, finding 15 commodity markets where the small speculators are at historically high net positions. Similar readings in the past have occurred in the areas of major sell offs.

larry

โดยหลักการของ larry เขาจะใช้ fundamental ในการดูตลาด set up for a rally ในขาขึ้น หรือใกล้จะลงแล้ว และใช้ technical ในการจับสัญญาณการ open long or short

fundamental ของเขาจะยึด commercial ที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่สุดในตลาดเป็นหลักในการ follow โดยเขาจะทำ commercial index ของเขาขึ้นมาเพื่อดูว่าตลาด set up for a bullish or ใกล้จุดสูงสุดแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ถ้า comercial bullish มาก และ small speculators(รายย่อย) bearish จัดๆ แสดงว่า ตลาดใกล้จุดต่ำสุดและมีโอกาส rally ในอนาคตอันใกล้

หลังจากนั้น เขาจะใช้เทคนิคในการจับสัญญาณเข้า และออก โดยเทคนิคเขามีหลายวิธีด้วยกัน ตั้งแต่การใช้ moving average การทำเป็น channel high low การใช้หลัก turtle trading

ทำไมเขาจึงใช้เทคนิคเขามาดูสัญญาณการซื้อขาย?

บางครั้ง fundamental ของเขาจะ setup rally แล้วบางครั้งมันก็ยังไม่ขึ้นเลย ยังมี small speculator ที่ยังขายอยู่เยอะในตลาด บางครั้งตลาดจะยังลงต่ออีกเป็นเดือนๆ แต่หลังจากนั้นเริ่มมีแรง buy จนมีสัญญาณเข้าซื้อทางเทคนิค ก็จะเป็นการเข้าซื้อจริง โดยยึดหลักเล่นตาม commercial ผู้ซึ่งเป็น big guy ในตลาด

เราก็กลับมาดูหัวข้อ ซึ่งที่เขาต้องการสื่อสารคือ fundamental ที่ดูเหมือนจะใกล้จุดสูงสุดแล้ว ตลาดน่าจะใกล้ set up bearish (ซึ่งเขาดูกราฟ weekly บางครั้งอาจกินเวลาเป็นเดือนๆจากที่เขาบอกถึงจะลง)

เราจะยังไม่เริ่มการ start short จนกว่าจะเกิดสัญญาณ short ทางเทคนิคจากระบบ (เรื่องนี้ เรื่องระบบที่เขาใช้เขียนยาวครับ ว่างๆจะมาเขียนอีกทีครับ) ด้วยเหตุผลที่ว่า หุ้นอาจจะวิ่งต่อได้จาก public rally ซึ่งนั้นไม่ใช่สัญญาณที่ดีหนัก เราจึงยังไม่อาจ short ได้เลย ถ้ามีสัญญาณทาง fundamental อย่างเดียว

เขาได้อธิบายไว้ว่า อย่างน้อยเราต้องรู้ก่อนว่า ตอนนี้เราเล่นอยู่เป็น commercial rally หรือ public rally ซึ่งการขึ้น ความแรง ความ bullish จะต่างกันเช่นกัน

ในทางกลับกัน ถ้า fundamental ไม่แสดงสัญญาณการ bull หรือ bear สัญญาณทางเทคนิคในทาง buy ของเขาจะ ignore หรือไม่เข้าซื้อ นี่เป็นวิธีกำจัด noise ของเขาเพื่อไม่ให้กิน whipsaw เมื่อ commodity ไม่ได้เป็นขาขึ้นจริงๆ

สรุป เขาบอกว่า commodity ใกล้ลงจาก fundamental เขาก่อน และจึงเริ่มทำการ short ถ้ามีสัญญาณทางเทคนิค นี่คือหลัก และวิธีการเล่นของเขาคร่าวๆครับ

หวังว่าคงพอเข้าใจบ้างนะครับ งงไหมครับ ^^

boyles

money management ตอน 1 การปกป้องเงินต้น ทำอย่างไร

เผอิญนอนไม่ค่อยหลับครับ เนื่องจากไม่ค่อยสบาย เลยแอบนอนตอนเย็นไปหน่อยนึง เอาล่ะ เลยเขียนบทแรกวันนี้เลยดีกว่าครับ ครายสนใจก้อไปซื้อได้ที่ www.mangmaoclub.com นะครับของคุณมดครับ แต่บทหลังอาจจะสรุปๆเอา มันเยอะเหลือเกิน อ่านต้นฉบับดีกว่า ที่แมงเม่าคลับ แปลดีด้วยครับ ของดร.แวน เค ทาร์ฟ

Money Management บทที่ 1 (ถ้าสรุปจบก้อจะสรุปอีกทีและเอาแนวคิดของลุงโฉลกมาผสมด้วย)

นักลงทุนหลายๆคนขาดทุนในตลาด หรือแม้กระทั่งบางคนกำไรมหาศาลแต่แล้วก็กลับมาขาดทุนได้เมื่อเวลาผ่านไป เรามาดูเหตุผลสำคัญกันครับ

Ralph vince ผู้เชี่ยวชาญ money management ได้ทำการทดลองเอาเด็กจบปริญญาเอกทางด้านสถิติมา 40 คน และมีประสบการณ์ในการลงทุนมาแล้วเช่นกัน และให้เล่นเกมจำลอง โดยให้เงินเริ่มต้น 10000 เหรียญ โดยโอกาสในการชนะของเกมนี้ เขาตั้งเอาไว้ที่ 60 % เกินครึ่งอีกนะครับ โดยทำการซื้อขาย 100 ครั้ง การเดิมพันจะได้ และเสียเท่ากันจำนวนที่ลงไป เช่น ลง1000 ถ้าถูกจะได้ 1000 และผิดจะเสีย 1000 เช่นกัน เมื่อเกิดซื้อขายจบลง 100 ครั้ง ปรากฎว่า มีคนชนะเกมส์นี้แค่ 2 คนใน 40 คน มีกำไรแค่ 2 คน

เพราะอะไร ??????

บางคนวางเดิมพัน 1 พันเหรียญ เมื่อเขาเจอภาวะขาดทุนติดต่อกัน 3 ครั้ง เขาจะขาดทุน 3000 เหรียญและเหลือเงินอยู่ 7000 เหรียญ การ breakeven ของเขา เขาจะต้องลง 3000 เหรียญเพื่อให้ได้เงินคืนมาทั้งหมด ซึ่งก็มีความเป็นไปได้เพราะโอกาสถูกย่อมมากขึ้น จากการผิด 3 ครั้งติด แต่เกมส์นี้โอกาสถูกคือ 60 % เมื่อคุณขาดทุนอีกครั้งนั้นหมายความว่าเงินจะเหลือแค่ 4000 เหรียญ ซึ่งต้องทำกำไร 150 % เพื่อคืนทุนซึ่งหนักกว่าเดิมอีก ซึ่งเป็นสามารถให้หมดตัวได้ในการเดิมพันที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ

หรือบางคนลง 2500 และเสียติดต่อกัน 3 ครั้งนั่นจะทำให้เงินเหลือแค่ 2500 ต้องทำ 300% ถึงจะเท่าทุน อืม เหนื่อยๆๆๆๆ

****** สรุปเลยครับ คนพวกนี้ขาดทุนเนื่องจากพวกเขายอมเสี่ยง และวางเดิมพันจนมากเกินไปนั่นเอง ********

สิ่งที่มีปัญหากับนักลงทุนทั่วไปคือ ขนาดของ portfolio ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยเงินที่น้อยเกินไปอย่างเช่น 300,000 บาท เมื่อคำนวณความเสี่ยง 2 % ในการเสี่ยงแต่ล่ะครั้งคุณจะยอมขาดทุนได้เพิ่งแค่ 6000 บาท ซึ่งคุณจะสามารถซื้อหุ้นได้จำนวนน้อยมาก ซึ่งผลตอบแทนที่ได้อาจไม่คุ้มถ้าเทียบเป็นจำนวนเงิน แต่ถ้าคุณลงเงินเดิมพันทั้งหมด 3 แสนบาท นั่นจะทำให้คุณเข้าสู่ภาวะเดิมพันที่เยอะเกินไป ซึ่งในระยะยาวโอกาสขาดทุนจะมากขึ้นทันที ดังนั้น portfilo ที่ใหญ่จะได้เปรียบกว่า และบริหาร money management ได้ดีกว่านั้นเองโดยไม่ต้องวางเดิมพันที่สูงมากเกินไปนั้นเอง

สิ่งต่อไปเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องจำไว้ เมื่อเราขาดทุน drawdowns(%การขาดทุน) และเราต้องลงเท่าไหร่เผื่อที่จะ cover กลับมาเพื่อเท่าทุน(breakeven)

Drawdowns(% การขาดทุน) Gain to recovery (% ที่ต้องทำกำไรกลับมาเพื่อเท่าทุน)
5% 5.3 % gain
10% 11.1 % gain
15% 17.6 % gain
20% 25 % gain
25% 33 % gain
30% 42.9 % gain
40% 66.7 % gain
50% 100 % gain
60% 150 % gain
75% 300 % gain
90% 900 % gain

การขาดทุนที่มากเกินไปในแต่ล่ะครั้ง นั้นหมายความว่าจะทำให้ต้องทำกำไรขึ้นมามหาศาลเพื่อกลับมาเท่าทุน อย่างเช่น เราขาดทุน 50 % เราต้องทำ 100 % การขาดทุนเกิน 50 % นั้นจะทำให้เรามีโอกาสวางเดิมพันมากขึ้นเพื่อให้กลับมาเท่าทุน เสี่ยงนั้นจะทำให้เราเพิ่มโอกาสที่จะเป็นผู้แพ้ในตลาดมากขึ้นเช่นกัน

สรุปบทเรียนบทแรกคือ การวางเดิมพันที่มากเกินไปในแต่ล่ะครั้ง จะทำให้เราเสี่ยงที่เข้าสู่ภาวะที่จะต้องเดิมพันมากขึ้นเพื่อเอาทุนขึ้น และเมื่อคุณแพ้ คุณก็แทบจะหมดโอกาสที่จะกลับมาเท่าทุนได้อีกครั้ง

ก้อจบล่ะนะครับ บทแรก หวังว่าคงยังไม่เบื่อกันก่อนนะครับ แล้วจะมา up ใหม่คร๊าบ โชคดีทุกท่านคร๊าบ

ต้องขอบคุณคุณมดแห่งแมงเม่าคลับอีกทีนะครับ ที่ทำผลงานดีๆออกมา ^^

boyles

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554

แนะนำการเริ่มต้นครับ มา share กันครับ

จะเขียน money management ก้อยังไม่ได้เขียนสะที เพิ่งได้หนังสือจากคุณมดมาก็ยังอ่านไม่จบ จะได้เอามา share กันเพิ่มเติ่มด้วย เดี๊ยวอ่านจบจะสรุปรวมไปเลยครับ ยังไงก็ต้องขอบคุณมดด้วย ครายสนใจเพิ่มเติมก็แอบ promote web ให้คุณมดด้วยครับ www.mangmaoclub.com ครับดีมากครับ ^^

ก้อมีเพื่อนๆเข้า group มามากขึ้นนะครับ ก้อว่างๆ จะได้ share idea กันสำหรับมือใหม่ๆนะครับ

สิ่งแรกที่เราต้องรู้ผมคิดว่า เราต้องค้นหาตัวเองให้เจอก่อน ค้นหาตัวเองในเรื่องอาไรบ้าง เดี๊ยวลองมาดูกันครับ สิ่งที่ผมพอนึกออกก็คงแบ่งได้ดีังนี้

1. เราจะเป็นนักวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือ พื้นฐาน เพราะวิธีการคำนวณทางพื้นฐานและเทคนิคก็มีวิธีต่างกัน หรือเราจะคัดหุ้นโดยวิธีทางพื้นฐานแล้วใช้เทคนิคในการจับสัญญาณในการเข้า ออกก็มีคนใช้เยอะเช่นกันครับ

ความเชื่อเป็นสิ่งที่สำคัญครับ ไม่ว่าจะเทรดโดยวิธีใดก็ตามผลลัพธ์ที่เราต้องการคือกำไร ดังนั้นถ้าเราเทรดกับสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกเรา นั่นจะทำให้เราไม่สามารถเทรดได้ตามที่เราคาดไว้

สรุปนะครับ เราอาจจะหา web ที่ให้ความรู้ทางพื้นฐาน ซึ่งก้อมีหลาย web เหมือนกันศึกษาเรื่องนี้ ส่วนตัวผมเองเป็นนักเทคนิคล้วนครับ ไม่ดูข่าว ไม่สนใจพื้นฐาน นั่นก็มาจากความเชื่อครับ ถ้าสนใจเทคนิคก้อยินดี share ครับและก็ยังมีอีกหลาย web ที่ให้ความรู้ทางด้านเทคนิค แต่ข้อควรวระวังคือ มีการให้นิยามในเรื่องเทคนิคหรือการใช้ indicator บางอย่างผิด ซึ่งจะทำให้เป็นที่มาของการขายหมูหรือตกรถ (ขอไม่ยกตัวอย่างนะครับ เดี๊ยวมันจะ advance ไป) และไม่สามารถทำกำไรได้

หลังจากเราศึกษาและตัดสินใจเลือกแนวทางของตัวเองแล้ว สิ่งต่อไปผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของระยะเวลาการลงทุน

2. เราอาจจะต้องลองเทรดดูก่อนครับ ว่าเราอยากเป็นนักเทรดระยะยาว กลางหรือสั้น อย่างเช่นบางคนชอบตัดสินใจเร็วๆ ก็อาจจะชอบการเทรดระยะสั้น ซึ่งการใช้เครื่องมือ การอ่านค่า indicator ต่างๆก็ย่อมต่างกับการเทรดระยะยาว อย่างของผมก็จะชอบเทรดระยะกลาง และถือยาวหน่อย เพราะผมเป็นคนตัดสินใจช้า ต้องดูโน้น ดูนี่เยอะ ดังนั้นการเทรดสั้นๆ จะขัดกับตัวผมเองมาก การเลือกและการใช้เครื่องมือต่างๆจะไม่เหมือนกับนักเทรดระยะสั้นมากๆ ตรงนี้เราอาจจะต้องลองเทรดสักพักก่อน แล้วดูว่าเราชอบแบบไหนครับ

ส่วนตัวก้อพอแนะนำการเริ่มศึกษาเทคนิคได้บ้างครับ
ก็ขอแนะนำคร่าวๆดังนี้ครับ
แนวคิดของนกเทคนิค คือ การคำนวณ probability ความน่าจะเป็นของ possibility การขึ้น ลงโดยดูจากกราฟเทคนิค เมือเราศึกษาหา pattern ที่ % มันถูกมากกว่าผิดเราย่อมมีโอกาสชนะมากขึ้น ตลาดที่มีการ random input ตลอดเวลา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะถูกทุกครั้ง ดังนั้นทำไมเราจึงต้องมี stoploss แต่เมื่อเรารู้โอกาสในการชนะเรามากกว่าผิด เราย่อมมีโอกาสชนะในตลาดในระยะยาว

มาดูแนวคิดของนักเทคนิค อันนี้เอามาจากลุงโฉลกเลย
1. Market Action Discounts everything (การเคลื่อนไหวของหุ้นจะถูกแสดงออกมาผ่านกราฟ โดยได้ประมวลทุกอย่างแล้ว เช่น การคาดการณ์กำไร ขาดทุน แนวโน้มของบริษัท PE มูลค่าหุ้น .... ความโลภ ความกลัว)
2. Prices Move in Trends หมายความว่า ขึ้นแล้วจะขึ้น แพงแล้วจะมีแพงกว่าอีก แต่ถ้าลงแล้วจะลงอีก ถูกแล้วจะมีถูกกว่าอีก
3. History Repeats itself เมื่อเราเห็น pattern ต่างๆ ซึ่งในอดีตมันเป็นยังไง เมื่อมันเกิดขึ้นอีกในปัจจุบัน มันก็จะเป็๋นอย่างเดิมอีก

การเทรดลงในกระดาษ เราตอ้งทำอาไรบ้างลองดูนะครับ
http://set-financial-academy.blogspot.com/2010/01/trading-system.html
1. Setting up Exercise
1.1 เลือกตลาด
1.2 เลือกหุ้นหรืออนุพันธ์ที่มีสภาพคล่อง และระวังการเล่น margin ด้วย

นี่คือแนวทางที่คุณจะฝึกด้วยเงินจริงๆ แต่ผู้สอนอยากจะให้ทดลองเล่นในกระดาษก่อน

มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งบอกว่ามีคนมากมายเข้ามาในตลาดหุ้น แต่มีเพียงคนเดียวที่เป็นเศรษฐีได้ โดยการแค่ Trade หุ้น IBM ตัวเดียว

2. เลือกแนวทางที่เราจะซื้อ-ขาย
2.1 อาจจะเป็นการวิเคราะห์พื้นฐาน หรือเทคนิคก็ได้ หรืออาจจะเป็นสถิติ ความน่าจะเป็นขึ้น ให้เข้ากับตัวคุณเอง
2.2 คุณต้องคำนึงว่ามันไม่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบ ความคิดเห็นของคุณจากการวิเคราะห์เทคนิค หรือกำไร ขาดทุนที่เกิดขึ้น มันขึ้นอยู่แค่คุณจะสามารถทำตามระบบได้หรือไม่ โดยไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

3. Trading System Requirement
3.1 Trade Entry ต้องรู้จุดเข้าที่แน่นอน
3.2 รู้จุดขายขาดทุน Stop loss
3.3 Time Frame เช่น intraday 30 นาที หรือ 60 นาที หรือ day เข้าด้วยTime frame ไหนออกด้วย Time frame นั้น
3.4 จุดที่คุณจะขายทำกำไร
3.5 ต้องลองซื้อ-ขายหลายๆครั้ง และวัดผลได้โดยไม่น้อยกว่า 20 ครั้งของการเทรด Trading in Sample sizes
3.6 มีการจัดการความเสี่ยงไปด้วย Accepting the risk

สุดท้ายสิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราทำกำไรและอยู่รอดในตลาดหุ้นคือ trend นะครับ
http://set-financial-academy.blogspot.com/2009/12/whipsaw-song-by-ed-seykota.html
เมื่อเราอยู่ใน trend จะให้กำไรเราคืนทั้งหมด กับความผันผวนทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างทาง

ก้อมีสิ่งที่จะแนะนำเท่านี้แหล่ะครับ ถ้าเพื่อนคนไหนจะมา share idea ก็ดีนะครับ จะได้ช่วยๆกันแนะนำ สร้างสังคมแบ่งปันครับ ^^

boyles