แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จิตวิทยาการลงทุน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จิตวิทยาการลงทุน แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เล่น Future อย่าเล่น Spread นะครับ เป็นบทความที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่ปี 2010


*** เล่น Future อย่าเล่น Spread นะครับ เป็นบทความที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่ปี 2010 ล่ะครับ ผ่านไปกี่ปี ก็ยังมีคนหมดตัวกับ spread ตลอด ฝากไว้สำหรับมือใหม่ในตลาด Future นะครับ ***

เสน่ห์ของ Future คือ Magic of Compound นะครับ แต่คนส่วนมากไม่สามารถอยู่ได้ถึงการเรียนรู้ในช่วงที่สามารถทำกำไรมหาศาลของตลาด Future ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน และหนึ่งในนั้นคือ Spread ด้วยเช่นกันครับ

เล่น TFEX อย่าเล่น Spread นะครับ Share ประสบการณ์

พอดีวันนี้ ว่างนิดๆ ก็คิดถึงเรื่อง spread ที่ลุงโฉลกเตือนเอาไว้ ก็เลยอยากจะมา Share idea เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ้งผมก็เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้เช่นกัน และก็เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณลุงได้เตือนเอาไว้เช่นกัน

Spread นี่ที่เห็นเขาพูดๆกัน ก็เห็นมีหลายอย่าง(ถ้าผิดขออภัย) นับตั้งแต่การหาสินค้าที่วิ่งตามกันในตลาดอย่างเช่นตลาดเกษตรล่วงหน้าที่ประเทศไทย Afet เทียบกับตลาดเกษตรที่ญี่ปุ่น Tocom เพราะถ้า 2 ตลาดนี้วิ่งไปในแนวโน้มตรงข้ามกัน ท้ายที่สุดมันจะปรับเข้าหากัน แต่ผมว่าเหมาะแก่การนำไปวิเคราะห์รวมกันมากกว่าการเล่น Spread

หรือ การดูผลต่างระหว่าง 2 สัญญาใน Future แล้วทำกำไรจากการบีบตัว หรือทิ้งห่างกันของสัญญาที่ใกล้เคียงกัน

หรือใช้ในการ fix ขาดทุน เพื่อบรรเทาการขาดทุนเมื่อเรามองผิดทาง

ผมขอ Share ประสบการณ์ผมล่ะกัน ผมเล่น Future แล้วผม Short เอาไว้เยอะมาก เมื่อหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ port ของผมจึงติดลบเยอะขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมก็ได้ถูก Broke นึงแนะนำให้ fix ขาดทุนโดยการเล่น long เมื่อตลาดขึ้นแรงๆจึงปิดสัญญา และเล่นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนมีสัญญาณกลับตัวจิงๆ ถึงกลับมา Short เพิ่มอีกทีนึง จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นครับ เจ๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนานแล้ว แต่ยากจะลืมเลือน ^^

อาจจะมีคนเล่นแล้วได้กำไร แต่ประสบการณ์ผม และลุงโฉลกที่ได้เตือนไว้ ผมไม่คิดว่า Spread จะทำกำไรให้เรามหาศาล และถ้าเราใช้ไม่ถูกจังหวะ จะเสียเอาง่ายๆ ดังนั้นเราจะไปยุ่งทำไม สำหรับผม เอาเวลาไปวิเคราะห์กราฟดีกว่า ได้ไม่คุ้มเสีย ถ้าวิธีนี้ทำกำไรให้เรามหาศาลค่อยเอาเวลาไปศึกษาดีกว่าครับ สำหรับมือใหม่ไม่แนะนำเลยครับ ผมก็ไม่เข้าใจว่า Broke จะแนะนำทำไม และผมก็ไม่คิดว่า Broke จะทำกำไรได้สักเท่าไหร่จากการเล่น Spread ด้วย

หลังจากเลิกยุ่ง Spread ชีวิตดีขึ้นครับ(แล้วก็เลิกยุ่งกะ Broke นั้นด้วย) ถ้าผิดทาง Cut loss ไปเลย ไม่ต้องไปนั่งมัวคิดว่าจะ Spread อีกฝั่งวุ่นวาย ความจริงเล่นหุ้นคิดแบบง่ายๆก็ หุ้นขึ้นเราเล่นลงก็เจ๊งครับ จะใช้วิธีไรก็เจ๊ง ยังไงผมก็ยังยืนยันว่าผิดทางให้ Cut loss เทคนิคดียังไง ผิดทางยังไงก็ขาดทุน ไปมีสมาธิเอากับเทคนิคการอ่านกราฟ จุด cut loss หรือ stop profit ดีกว่าครับ คุ้มกว่าเยอะ

ผมก็ขอเอาบทความลุงโฉลกส่วนนึงที่พูดเกี่ยวกับเรื่อง Spread มาให้เพื่อนได้พิจารณา และระวังด้วยครับ

สมาชิกจำนวนหนึ่งของเราถูกหลอกให้ลงทุนใน Spread ของตลาด Futures และบางรายอาจหาญเข้าตลาด Forex ผลคือการขาดทุนหมดเนื้อหมดตัว ชมรมโฉลกดอทคอมสอนสมาชิกให้ลงทุนพอให้มีกำไรอย่างรู้จักความ พอเพียง ไม่ได้สอนวิธีหาเงินมากมายร่ำรวยง่ายๆ ใครก็ตามที่หวังร่ำรวยมากๆ ง่ายๆ จากการลงทุน ต้องไปหาวิธีการจากที่อื่น ไม่ได้แปลว่าที่อื่นไม่ดี ไม่ได้แปลว่าที่อื่นไม่ถูกต้อง ไม่ได้แปลว่าที่อื่นไม่เก่ง ไม่ได้แปลว่าที่อื่น ฯลฯ เพียงแต่บอกว่าที่นี่สอนการลงทุนตามระบบที่ได้กำไรแค่ พอเพียง เท่านั้น ครูทุกคนของชมรมจะเน้นการลงทุนในตลาดหุ้น (SET) จนแน่ใจว่าสมาชิกมีความสามารถพอเพียงแล้วจึงจะเริ่มสอนให้ลงทุนในตลาด Futures แต่เราไม่แนะนำให้ใช้ราคาระหว่างวัน (Intraday) และไม่แนะนำให้ลงทุนในตลาด Forex แต่ไม่ได้แปลว่าการใช้ Intraday และ Forex เป็นเรื่องผิด เพียงแต่บอกว่าที่นี่สอนการลงทุนตามระบบที่ได้กำไรแค่ พอเพียง เท่านั้น ที่สำคัญที่สุดคือชมรมไม่สอนให้เล่น Spread
ปรกติการลงทุนในตลาด Futures เช่น TFEX ต้องมี Initial margin และ Maintenance margin และบ่อยครั้งที่นักลงทุนโดน Margin call เมื่อ trade ผิดทางด้วย เมื่อตลาดเริ่มขึ้น นักลงทุนส่วนมากจะซื้อ Long positions มากกว่า Short positions ทำให้สภาพคล่องของ Brokers เกิดปัญหา จึงมีคำสั่งให้ marketing ชักจูงให้ลูกค้าเล่น Spread โดยอ้างเหตุผลต่างๆ (ที่หลอกลวง) ผลของการเปิด spread ทำให้จำนวน Open long positions ลดลงทันที บริษัทฯ สามารถใช้เงินในกิจการอื่นได้ และรับ order จากลูกค้าได้เพิ่มขึ้น เมื่อการลงทุนผิดทาง แทนที่จะ stop loss ตามระบบ บริษัทฯ กลับหลอกลวงให้ลูกค้าเปิด spread ซึ่งลงเอยด้วยความหายนะเสมอ นี่คือความโหดเหี้ยมอำมหิตของธุรกิจ แต่ไม่ได้แปลว่าทุก Brokers ทำอย่างนี้นะครับ Brokers ดีๆ มีมากมาย และ Brokers เลวๆ ก็มีมากมาย ชมรมมีสมาชิกอาวุโลที่เป็น Marketing ที่ดีหลายคน สมาชิกที่เริ่มลงทุนใหม่ ควรพิจารณาเลือกบริษัทฯ Brokers ด้วยความระมัดระวัง

หวังว่าจะได้ประโยชน์กันมั้งนะครับ
Boyles
Posted by Tavatchi (boyles) at Friday, August 20, 2010

http://big-move-club.blogspot.com/2010/08/tfex-spread-share.html

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

กฏการเทรด 10 ข้อ และการอยู่รอดในตลาด ที่ต้องท่องให้ขึ้นใจ



กฎของ LARRY
1. ความอยู่รอดคือจุดเริ่มต้น การเก็งกำไรเป็นธุรกิจที่เสี่ยงสูงมากๆ มันไม่เกี่ยวว่า เราจะชนะ หรือแพ้ มันเกี่ยวกับคำว่าเราจะอยู่รอดอย่างไร เมื่อตลาดอยู่ที่จุดต่ำๆ หรือจุดสูงๆ ถ้าคุณอยู่รอดไม่ได้ คุณไม่สามารถชนะได้
อย่างแรกสุดของการอยู่รอด คุณต้องมีแนวทาง หรือวิธีการเก็งกำไรที่ทำได้จริง
ข่าวลือ วงใน ความรู้สึกไม่ใช่แนวทางการเก็งกำไร โอกาสหรือพื้นที่ในการเก็งกำไรจะมาจากความจริงที่สามารถทำได้จริง
นักเก็งกำไรระยะสั้น และระยะยาวอาจมีแนวทางการทำกำไรต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือวิธีการ และเครื่องมือที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้จริง
นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้เวลาเยอะมากในการซื้อ laptop แต่ตัดสินใจเร็วมากในการวางเงินเดิมพันจริงๆ ในตลาดทุน
ปัญหาโดยทั่วไป คือมีเทคนิคเยอะมากที่มันใช้ทำเงินจริงๆไม่ได้ เขาแนะนำได้อย่างนึงคือ คุณต้องใช้เวลาให้มากหน่อยในการเรียนรู้ และตัดสินใจในการเข้าเก็งกำไร ในช่วงวิกฤตต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คุณจะมี การบริหารเงินที่ดี MM มีระบบที่ดี มีรูปแบบการเก็งกำไรที่ทำได้จริง แต่คุณก็ยังต้องควบคุมตัวเองให้ได้อยู่ดี
2. ทั้งหมดนี้ มันคือเกมส์ของอารมณ์ และมันจะเป็นไปตลอด อะไรก็แล้วแต่ที่มันเกี่ยวข้องกับเงิน และยิ่งเป็นเงินของเรา มันทำให้เราตัดสินใจอย่างไร้เหตุผล ความกลัว อารมณ์ต่างๆทำให้นักเทรดเดอร์ทั้งหลายพลาดกับการลงทุนที่ดี หรือเขาเดิมพันที่สูงมาก เมื่อการบริหารเงินถูกคอบงำโดยอารมณ์ โดยปราศจากเหตุผล
3. ความโลภ เมื่อความโลภมีผลต่อเรามากกว่าความกลัว มาดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อคุณเป็นนักเก็งกำไร คุณจะมีความกลัวลดลงกว่าคนทั่วไป เพราะคุณถูกดึงดูดในเรื่องการทำเงินให้ได้ ในขณะที่คนอื่นจะกลัวการขาดทุน
ความโลภเป็นอุปสรรคต่อนักเทรดทั่วไป ความโลภจะทำให้คุณมีความหวังหลงเหลือ ความโลภจะทำให้คุณผลีผลามเข้าในจังหวะที่เสียเปรียบ และออกเร็วเกินไป ความหวังคือศัตรูตัวหลักเพราะมันทำให้คุณฝันถึงกำไรมหาศาล
และออกไปสู่โลกแห่งความฝัน เชื่อผมเถอะ !!! โลกของการเก็งกำไร มันมีจริง และคนมากมายศูนย์เสียเงินที่ตัวเองเก็บมาทั้งชีวิต ชีวิตคู่พัง ครอบครัวแตกแยก จากการได้เสียอย่างมากมายในตลาดนี้
แน่นอน การชนะของเราที่เกิดจากการเก็งกำไร อาจจะชั่วครั้ง ชั่วคราว มันพร้อมจะจากเราไป เหมือนกับเราถูกฟ้องล้มละลาย หรือโกงเลยทีเดียว
ผมไม่สามารถบอกวิธีที่แน่นอนในการจัดการกับความโลภได้ แต่สิ่งที่ผมบอกคุณได้อย่างเดียวคือ คุณต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ไม่งั้นคุณจะไม่มีทางรอดจากตลาดแน่นอน
4. ความกลัว
ความกลัวเป็นสาเหตุ ให้คุณไม่กล้าทำในสิ่งที่คุณควรจะทำ ไม่กล้าตัดสินใจเมื่อ ความได้เปรียบมาถึง แน่นอนมันตรงข้ามกับความโลภที่เป็นสาเหตุให้คุณทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ
นักจิตวิทยาบอกว่า ความกลัวทำให้คุณไม่กล้าขยับ ถึงแม้โอกาสที่ดีจะวิ่งเข้าหาคุณอย่างมากมายขนาดไหน แต่พวกเขาก็จะมองผ่าน และไม่ทำอะไรกับมันเลย และแย่ยิ่งกว่านั้นคือเขาพลาดโอกาสที่ดีไปแล้ว ถ้าถามผม ผมก็ไม่รู้
แต่ผมบอกได้อย่างเดียวคือ เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ผมกลัวมากเท่าไหร่ โอกาสชนะของผมที่จะได้กำไรกลับมีมากขึ้น นักลงทุนทั่วไปกลัวและเอาตัวเองมาจากตำแหน่งที่ได้เปรียบ
5. Money management คือการสร้างความมั่นคั่ง
แน่นอน คุณสามารถทำเงินจากการเป็นเทรดเดอร์ หรือ นักลงทุนก็ได้ แต่ผมบอกได้เลยว่ากำไรส่วนใหญ่มันไม่ได้มาจาก เทคนิคการเทรด รูปแบบการลงทุน มากเท่ากับวิธีการบริหารเงิน หรือการจัดการเงิน
ผมยกตัวอย่าง ผมทำเงินจาก $10,000 เหรียญเป็น 1 ล้านเหรียญใน 1 ปี ในการแข่งขันรายการนึงด้วยเงินจริง ด้วยวิธีง่ายๆคือ เมื่อกำไรเยอะขึ้นคุณก็เทรดเยอะขึ้น และเมื่อกำไรลดลงคุณก็ต้องเทรดด้วยสัญญาที่น้อยลง
และ 10 ปีต่อมา ลูกสาวเขาอายุ 16 ปี ก็ชนะรางวัลการเทรด โดยทำเงินจาก 10000 เหรียญ เป็น 1 แสนเหรียญ ผมบอกได้เลยว่าไม่มีสูตรลับใดๆ ไม่มีกราฟมหํศจรรย์ใดๆ เธอแค่ทำตามรูปแบบการบริหารเงินเหมือนที่ผมได้ทำ
6. การทำกำไรมหาศาล ไม่ได้มาจากการเดิมพันที่สูง
มีเรื่องราวมากมายของนักเทรด อย่าง jesse livermore, john gates, niederhoffer, frankie joe และอีกมากมาย คนพวกนี้เดิมพันสูงมาก และสูญเสียเงินตัวเองหมดในท้ายที่สุด
การลงทุน หรือเก็งกำไรที่ฉลาดจะไม่เดิมพันสูง และไม่มีทาง ทำไมเหรอ คุณสามารถชนะ และทำกำไรมหาศาลเมื่อคุณเดิมพันไม่เยอะ กลับไปดูข้อ 5 ท้ายที่สุด เมื่อคุณเดิมพันสูง เวลาคุณเสีย คุณก็เสียเยอะเช่นกัน
มันเหมือนการเล่น รูเร็ต คุณสามารถเล่นได้บ่อยโดยคุณไม่แพ้เลย แต่ถ้าคุณเล่นบ่อยมากเท่าไหร่ บ่อยจนเพียงพอต่อผลลัพธ์อันเดียวที่คุณไม่มีทางหนีได้ คือ จุดจบ ความตาย และเมื่อคุณเดิมพันสูง คุณก็จะหมดตัวเช่นกัน ตัวผมก็เคยผ่านมาแล้ว เชื่อผมเถอะ
ผมเดิมพันน้อยลง ควบคุมความเสี่ยงให้ได้ ไม่มีวิธีใดหรอกที่จะอยู่รอดในตลาดโดยปราศจากการควบคุมความเสียหาย
7.พระเจ้าอาจช้า แต่พระเจ้าไม่เคยปฏิเสธ
ผมไม่เคยรู้เลย เมื่อไหร่ผมจะทำเงินได้ มันอาจจะเป็นการเทรดครั้งแรก หรือครั้งสุดท้ายของผมเองก็ได้ แต่คุณต้องเตรียมรบ ให้ได้นานที่สุด
ผมคิดว่าความเชื่อในเรื่องของพลัง คือ ปัจจัยในการสำเร็จของนักเทรด มันช่วยให้เรามีวิสัยทัศน์ในการเก็งกำไร
-.- เริ่มง่วง สรุปคร่าวๆ ขอให้เรามีพยายาม และเชื่อในพลังในตัวเอง และมุ่งมั่น ความสำเร็จจะตาม
8. ผมเชื่อเสมอว่า การเทรดในปัจจุบัน ผมจะขาดทุน
อันนี้คือเคล็ดลับความเชื่อในการเก็งกำไร ให้ประสบความเสำเร็จของผมเลยทีเดียว นักเทรดทั่วไป เชื่อเสมอว่า เทรดครั้งต่อๆไป ในอนาคตพวกเขาจะเทรดได้ดีขึ้น และจะเป็นผู้ชนะ
แต่ไม่ใช่ผม !!! ผมเชื่อว่า หลักๆแล้ว หลักการจริงๆแล้ว คือการเป็นผู้แพ้ ผมถามคำถามคุณ คุณคิดว่า ผมที่มี stop อย่างผม และเทรดอย่างถูกต้อง หรือคนที่เทรดด้วยความเชื่อโดยปราศจากเหตุผล คุณคิดว่าใครจะแพ้
ระหว่างผม หรือ คนที่คิดในแง่ดี
ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ ผมจะบอกคุณว่าการที่ผมคิดว่าผมเป็นผู้แพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมจะปกป้องตัวเอง ในทุกรูปแบบ และทุกเวลา และผมจะไม่อยู่ในความหวัง และความไม่จริง
9. โชคจะมาหาคุณจากการเพ่งความสนใจเพียง 1 ตลาด หรือ 1 เทคนิค
คนที่เทรดหลายๆอย่าง จะไม่ประสบความสำเร็จในการเทรด ทำไม? นักเทรดจะต้องตั้งใจในรายละเอียดของการเทรด โดยปราศจากอารมณ์
การไขว้เขว้อาจหมายถึงต้นทุนคุณที่เพิ่มขึ้น ขาดการใส่ใจ นั่นจะทำให้คุณ ไม่ได้เข้าในจุดที่ควรจะเข้า หรือเพิกเฉยในการเทรดซึ่งนำมาซึ่งต้นทุนที่สูงขึ้น
เหมือนกับพวกที่โยนบอลขึ้นไปในอากาศ มันค่อนข้างยากที่คุณจะควบคุมบอลที่โยนขึ้นไปอากาศ อย่างเช่นบอล 3 ลูก แน่นอนคุณอาจจะฝึกได้ แต่เมื่อเพิ่มลูกบอลขึ้นเรื่อยๆ น้อยคนมากๆที่จะทำได้ และควบคุมลูกบอลพวกนี้ได้
ดูอย่างพวกนักกีฬาสิ พวกเขามุ่งมั่นอยู่แค่กีฬาอย่างเดียว หรือพวกศิลปิน นักดนตรี ไม่มีหรอกที่จะเป็นดาวดังจากการร้อง country western and opera ดังนั้น ยิ่งคุณมุ่งมั่นได้มากเท่าไหร่ในสิ่งที่คุณทำ คุณจะยิ่งประสบความสำเร็จมากมายในด้านนั้นๆ
10. เมื่อสงสัย ให้กลับไปอ่านข้อหนึ่งใหม่
มีเวลาจะมา edit ใหม่ช่วงหลังง่วงๆ อาจแปลงงบ้าง ^^
BOYLES
ที่มา LARRY WILLIAMS

ทำไมเทรดเดอร์ถึงขายทำกำไรเร็วเกินไป


วันนี้ เราจะมาเรียนรู้กันว่าทำไมเทรดเดอร์ถึงขายทำกำไรเร็วเกินไป เมื่อตัวเองเริ่มเทรดถูกทาง และอะไรที่เป็นปัจจัยบ้าง
ก่อนที่เราจะมาเรียนรู้รายละเอียดพวก Trailing Stop สิ่งแรกที่เราควรจะเข้าใจมากที่สุดคือ จิตวิทยาการเทรด คุณควรจะเข้าใจจิตวิทยาการลงทุนในเรื่องที่ทำให้ขาดทุน และ การบริหารเงินที่ผิดพลาด ซึ่งนำมาซึ่งความหายนะของเทรดเดอร์อีกด้วย

มันน่าประหลาดใจมากที่เทรดเดอร์จะ ขายทำกำไรเร็วมาก ซึ่งไม่เหมือนกับตอนขาดทุน ที่จะชอบทิ้งไว้ยาวๆ เรามาดู Van K Tharp อธิบายเรื่องนี้ไว้น่าสนใจ เมื่อถามว่าให้เลือก 2 ข้อระหว่าง 1. 100% ได้กำไร 9000 เหรียญ กับ 2. 95% ได้กำไร $10,000 + 5% ของโอกาสไม่ได้กำไร คุณจะเลือกข้อไหน  จากการสำรวจ ในห้องจะเลือก ข้อแรก มากกว่าข้อสองที่ได้กำไรมากกว่าก็ตาม

ซึ่งคล้ายกับวิถีคนทั่วไป ยากที่จะยอมรับการขาดทุน ธรรมชาติเราก็สอนให้เรารีบทำกำไร หรือ เหมือนกับกำขี้ดีกว่ากำตด และกฏที่ตรงข้ามกับ 2 ข้อนี้คือ

“ตัดขาดทุน และถือกำไรของคุณให้ได้”

ในบทถัดไปเราจะมาเรียนรู้เรื่องการใช้ Trailing Stop เมื่อการเทรดของเราเริ่มถูกทาง พรุ่งนี้เราจะมาเรียนรู้ Trailing Stop กันต่อไป จบดีกว่า

Boyles

สองสิ่งที่นักเทรดผิดพลาดจนต้องเดินออกนอกตลาด (ตอนที่ 3)


สองสิ่งที่นักเทรดผิดพลาดจนต้องเดินออกนอกตลาด (ตอนที่ 3)

สองสิ่งที่นักเทรดผิดพลาดจนต้องเดินออกนอกตลาด (ตอนที่ 3)
ข้อผิดพลาดแรก คือ แผนการของที่คุณคิดนั้นถูกต้องแล้ว แต่ตลาดนั้นดันเคลื่อนที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณคิด ดั่งนักเศรษฐศาสตร์ชื่อจอร์น เมนาร์ดเคยพูดไว้่า
“ตลาดนั้นสามารถเคลื่อนอย่างไร้เหตุผล นานเกินกว่าที่คุณคิด หรือสามารถถือได้”
มีตัวอย่างที่ดีมากอันนึง สำหรับคนที่เล่น short nasdaq ในช่วงปลายปี 1999 – ต้นปี 2000 ในช่วงนั้น เป็นที่แน่นอนแล้วว่าตลาดเป็นช่วงมูลค่าเกินปัจจัยพื้นฐานอยู่มาก
มีเทรดเดอร์เก่งๆมากมายรู้ล่ะ และเริ่มทำการ short ตั้งแต่ปลายปี 1999 ถ้าย้อนไปดูกราฟ nasdaq ก็ลงมหาศาลแต่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2000 ตาหาก ซึ่งกินเวลาหลายเดือนจากช่วงที่นักเทรดต่างๆ เริ่มทำการ short
เทรดเดอร์เก่งๆ พวกนี้ วิเคราะห์ถูกต้อง แต่โชคร้ายที่หุ้นยังคงวิ่งขึ้นมากมายมหาศาล จากจุดที่มูลค่ามันเกินความเป็นจริงไปมากแล้วก็ตาม ซึ่งก็ทำให้เทรดเดอร์ต้องออกจากตลาดไป โดยทั้งๆที่ท้ายที่สุด นักเทรดเหล่านี้ ไม่ได้วิเคราะห์ผิดเลย
จากบทเรียนคราวที่แล้ว คนส่วนใหญ่ปราศนาที่จะเป็นฝ่ายถูก จึงทำการเทรดต่อ หรือถือต่อ ถึงแม้ท้ายที่สุดเขาจะถูกก็ตาม แต่บางคนก็ต้องเดินออกจากตลาดไปก่อน
ข้อที่สอง คือ เรื่องของการกลัวเสียโอกาสในการทำกำไร
ตัวอย่างที่่น่าสนใจคือ ที่แนวรับ แนวต้าน หลายๆ คนต้องจุด stop loss ไว้ที่เดิมกัน ดังนั้น บางครั้งมันก็เกี่ยวจุดตัดขาดทุนเราก่อนที่ราคาจะวกหัวขึ้นไป แล้ววิ่งขึ้นต่อ หลังจากเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ครั้งหรือสองครั้ง นักเทรดจึงทำการเปลี่ยนแผนโดยไม่มีจุด stoploss
ถึงแม้มันจะได้ผลบ้าง แต่เมื่อมันหลุดแนวรับจริงๆแล้ว ราคาจะลงเร็ว และแรงมาก ซึ่งจะทำให้นักเทรดกลับมาขาดทุน หรือสูญเสียกำไรมากมายมหาศาลเพียงพริบตา บางคนแย่กว่านั้น คือไม่เพียงแต่เสียหายเยอะแล้ว นักเทรดบางคนยังทำการอัดเงินเพิ่มเข้าไปโดยหวังว่าตลาดจะกลับตัวขึ้น
ถ้าโชคดีหุ้นขึ้น นักเทรดเหล่านี้ก็จะไม่เสียเงิน แต่มันสร้างนิสัยการเทรดที่แย่ ซึ่งท้ายที่สุดพวกเขาก็มีโอกาสเดินออกจากตลาดหุ้นอยู่ดี
นักเทรดที่ประสบความสำเร็จจะรู้ว่าสถานการณ์อย่างนี้เป็นเรื่องปกติในตลาด สิ่งที่สำคัญคือห้ามเปลี่ยนแผนการเทรดที่เราวางไว้ ยอมรับการสูญเสียว่าเป็นส่วนนึงของการเทรด แล้วให้เทรดใหม่ถ้าตลาดไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด
จบบทเรียนวันนี้ล่ะครับ บทเรียนต่อไปคือ จิตวิทยาการเทรดที่คนไม่อยากที่จะขาดทุน เพราะการอยากที่จะตามคนส่วนมาก
boyles

จิตวิทยาการเทรด ผลกระทบจากการเทรดขาดทุน ตอน 2


จิตวิทยาการเทรด ผลกระทบจากการเทรดขาดทุน ตอน 2

มาต่อกันนะครับ ถ้าแปลผิดอย่างไร ก็แก้ได้นะครับ รีบๆ แปล มาดูเรื่อง ที่เราจะมาศึกษากันวันนี้ครับ
The Psychology of Trading: The Effect of Trading Losses
จิตวิทยาการเทรด ผลกระทบจากการเทรดขาดทุน
ในตอนที่แล้ว เราได้เกรินไปแล้วว่า หัวข้อเรื่อง money management เป็นหัวข้อที่คนส่วนใหญ่มองข้าม แต่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของการเทรดให้ประสบความสำเร็จ
คราวนี้เราจะมาดูส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของจิตวิทยาการบริหารเงิน นั้นคือ ความเต็มใจที่จะผิดพลาด
มนุษย์เราเติบโตมาโดยการให้ความสำคัญกับการถูกเสมอ คนที่ทำอะไรถูกต้องจะถูกยกให้เป็นผู้ชนะ และคนที่ทำผิดก็คือผู้แพ้
ดังนั้นความกลัวที่จะผิดพลาด และความต้องการที่จะเป็นฝ่ายถูก ความคิดเหล่านี้จะเข้ามาหาคุณเองโดยอัตโนมัติ โดยถ้าเอามาใช้ในเรื่องของการเทรด จะสิ่งที่เลวร้ายมากในการคิดอย่างนี้
มาดูว่าคนส่วนใหญ่มีความคิดอย่างไร ในการเทรดได้กำไร
ถูกต้อง = ผู้ชนะ
ถูกต้อง = ประสบความสำเร็จ
เทรดได้กำไร = ถูกต้อง
เทรดได้กำไร = ประสบความสำเร็จ
มาดูคนส่วนใหญ่คิดอย่างไร เมื่อเทรดขาดทุน
ผิดพลาด = ผู้แพ้
ผิดพลาด = ล้มเหลว
เทรดขาดทุน = ผิดพลาด
เทรดขาดทุน = ล้มเหลว
โอเค เรามาดูกันต่อ เมื่อคุณศึกษาเทคนิคเยอะๆ จนคุณคิดว่าคุณฉลาดมากพอล่ะ ในการเป็นเทรดเดอร์ คุณก็ให้ผมเนี่ยให้แผนการเทรดกับคุณ และผมก็พูดกับคุณว่า โอเค
ผมจะให้วิธีการเทรดกับคุณนะ วิธีนี้ คุณจะต้องเทรด 100 ครั้งต่อปี ด้วยค่าเฉลี่ยการได้กำไร 100 จุด และเฉลี่ยขาดทุน 20 จุด คุณก็รับแผนการเทรดของผมกลับบ้านไป
หลังจากนั้น 2-3 วัน คุณก็ได้กำไร 80 จุดจากการเทรดครั้งแรก คุณดีใจมาก โทรหาเพื่อนคุณมากมาย แล้วบอกว่วาคุณพบระบบที่ดีที่สุดแล้ว หลังจากนั้น 5 ครั้งถัดมา คุณก็เสียครั้งล่ะ 20 จุด ดังนั้น 5 ครั้งล่าสุดทำคุณขาดทุนไปทีเดียว 100 จุด
แต่คุณดันบอกเพื่อนคุณด้วย เพื่อนคุณจึงขาดทุน 100 จุดตั้งแต่แรกเริ่มทีเดียว ตอนนี้คุณจะรู้สึกแย่มาก และเป็นตัวตลกในหมู่เพื่อนของคุณทันที
วันต่อมาคุณจึง เดืนมาหาผม แล้วก็ด่าผมถึงระบบแย่ๆอันนี้ ผมก็เลยให้ระบบใหม่กับคุณ ระบบนี้เทรด 100 ครั้งต่อปีเหมือนกัน แต่มีอัตราการชนะมากกว่า ซึ่งผมคิดว่า เขาน่าจะพอใจกับระบบเทรดอันใหม่นี้ แล้วคุณก็เอากลับบ้านไปทดลอง
หลังจากนั้น คุณก็เทรดติดต่อกันมา 5 ครั้ง ได้กำไรครั้งล่ะ 10 จุด ตอนนี้คุณจึงได้กำไรมา 50 จุด และคุณตื่นเต้นกับมันมาก รีบบอกเพื่อนคุณ ภรรยาคุณ ว่าคุณเจอระบบที่สมบูรณ์แล้ว แล้วก็ show statement ให้เพื่อนคุณดูเป็นการแก้แค้น
ลองถามคุณดูว่า จากตังอย่าง ระบบ 2 อันนี้ คุณจะเลือกอันไหน
System 1 system 2
day 1 winner winner
day 3 loser winner
day 6 loser winner
day 9 loser winner
day 12 loser winner
day 15 loser winner
จากประสบการณ์ผม นักเทรดส่วนใหญ่จะเลือกระบบที่ 2 โดยปราศจากความคิดเพิ่มเติม ถึงแม้ว่าระบบที่สองอาจจะเสียเพียงแค่ 2-3 ครั้ง อาจจะทำให้คุณสุญเสียกำไรของคุณทั้งหมดเลยก็ได้
แต่ถ้าเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ จะต้องการรู้ข้อมูลมากกว่านี้ของทั้ง 2 ระบบ ตามที่จะอธิบายต่อไปนี้
ถ้าไม่นับค่าคอม ระบบแรก ผมต้องการถูกต้อง 1 ครั้งสำหรับการผิดทุกๆ 5 ครั้ง เพื่อที่จะขาดทุน การเทรด 6 ครั้งดังในตัวอย่างจะไม่เพียงพอที่จะวัดผลการเทรดได้ และมันก็เป็นไปได้เหมือนกันที่จะขาดทุนติดต่อกัน 10 ครั้งโดยเมื่อเทรดจนครบปี จบด้วยการได้กำไรในท้ายที่สุด
ระบบที่สอง จะได้กำไรครั้งล่ะน้อยๆ และจุดตัดขาดทุนจะกว้าง ดังนั้นระบบนี้จึงมีโอกาสที่ผิดพลาดไม่กี่ครั้งก็อาจจะทำให้กำไรหายหมดเช่นกัน
ระบบเทรดที่ทำกำไรได้ส่วนมากจะเป็นระบบในแบบที่ 1 ที่จำขาดทุนเล็กๆ น้อยๆ หลายๆครั้ง ก่อนที่จะทำกำไรก้อนโตจากการวิ่งครั้งใหญ่ๆ ไม่กี่ครั้ง แต่นักเทรดส่วนมากไม่สามารถทนได้ในระหว่างที่ขาดทุนเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ได้ และเลิกเล่นไปก่อน ที่จะให้โอกาสระบบได้พิสูจน์ตัวเอง
สรุปบทเรียนนี้ คุณควรจะเข้าใจ สาเหตุและผลกระทบของการเทรดขาดทุนในแต่ล่ะครั้ง ซึ่งมันหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เพื่อเตรียมตัวในการตัดสินระบบต่างๆ ว่าดี หรือแย่อย่างไร
ในบทเรียนต่อไป เราจะมาดูกันว่า 2 อย่างที่ผิดพลาด ที่ทำให้นักเทรดมากมายต้องเดินออกจากตลาดไปคืออะไร

จิตวิทยาการบริหารเงิน สิ่งที่แยกระหว่างนักเทรดที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว


จิตวิทยาการบริหารเงิน สิ่งที่แยกระหว่างนักเทรดที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว

วันนี้มาทำความเข้าใจ หัวข้อสำคัญในการเทรดครับ ค่อยๆเรียนรู้ดีกว่า จะได้ไม่หนักจนเกินไป
we are going to start a new series on money management and the psychology of money management, the most important concept in trading and the reason why most traders fail.
2 เรื่องที่สำคัญของการเทรด money management and the psychology of money management,
Over the last several years working in financial services I have watched hundreds if not thousands of traders trade, and over and over again I see smart people who have been intelligent enough to accumulate large sums of money in their non trading careers open a trading account and loose huge sums of money making what you would think are easily avoidable mistakes that one would think even the dumbest traders would avoid.
คนเขียนเคยทำงานด้านการให้บริการงานเงิน เขาเห็นคนเก่งมากที่เก็บเงินมากมายจากอาชีพของเขาเอง และเข้ามาเปิดบัญชีและเทรดหุ้น และเสียเงินมากมายมหาศาลกลับไป ซึ่งคุณอาจคิดว่ามันเป็นความผิดพลาดง่ายๆซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้น
Those same traders are the ones that consider themselves too good or smart to make the same mistakes that so many others make, and that will skip over this section to get to what they feel is the “real meat” of trading, strategies for picking entry points. What these traders and so many others fail to realize is that what separates the winners from the losers in trading is not how good someone is at picking their entry points, but how well they factor in what they are going to do after they are in a trade into their trade entries and how well they stick to their trade management plan once they are in the trade.
พวกคนเหล่านี้ จะทำสิ่งที่ผิดพลาดเหมือนกันคือ จะมุ่งเน้นไปที่วิธีการหาจุดเข้าซื้อที่ดีที่สุด โดยไม่ได้ดูว่าคนที่ประสบความสำเร็จเขาทำอย่างไร คนที่ประสบความสำเร็จเขามีแผนการ การเทรดหลังจากที่เขาเข้าซื้อ เขาจะทำอะไรบ้างหลังจากที่เขาเข้าซื้อตาหาก
For the few who do get that money management is far and away the most important aspect of trading, the large majority of these people don’t understand the large role that trading psychology plays in money management or consider themselves above having to work on channeling their emotions correctly when trading.
มีแค่เพียงบางคนเท่านั้น ที่เห็นว่าหัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่สำคัญที่สุด ซึ่งแตกต่างกับคนส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าใจจิตวิทยาในการบริหารการเงิน
So in this series of lessons we are going to first start with a look at the psychology of money management and the role that this plays in causing so many traders to lose their shirts and then move on to ways of managing this before finishing up with specific strategies for managing trades once you are in them.
ต่อไปเราจะมาเรียนรู้ จิตวิทยาการบริหารเงิน อะไรที่เป็นสาเหตุให้นักลงทุนส่วนใหญ่ขาดทุน ต่อจากนั้นก็จะมาเรียนรู้เรื่องวิธีการบริหาร และจบท้ายด้วยการวางแผนการบริหารการเทรด
While not the most exciting part of trading, I assure you that if you don’t understand and work on the concepts presented in this section you are pretty much doomed to failure as a trader no matter how well you understand the other aspects of trading. Having said this I also assure you that if you do understand and work to expand your knowledge of the concepts presented in this series you will be well on your way to becoming a successful trader.
ผู้เขียนค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าคุณไม่เข้าใจ และไม่เรียนรู้ในหัวข้อนี้ คุณจะประสบความล้มเหลวแน่นอน ถึงแม้ว่าคุณจะเข้าใจหัวข้ออื่นได้ดีขนาดไหน เมื่อคุณเรียนรู้ครบแล้บ เขามั่นใจว่าคุณจะกลายเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จแน่นอน
boyles แปล

การทำสมาธิและการเทรด สำคัญมากๆนะครับ


วันนี้ก็คุยกับเพื่อนใน group เกี่ยวกับเรื่อง ธรรมะ สมาธิและการเทรดนะครับ เลยอยากมา Share ประสบการณ์นะครับ รวมถึง Share เรื่องราวของ mudley group ด้วยครับ
สิ่งนึงที่ผมให้ความสำคัญมากเป็นลำดับต้นนอกจากเทคนิค คือเรื่องของจิตวิทยา การทำสมาธิ ถ้าใครเคยอ่าน ประวัติผมในช่วงที่ผมผ่านช่วงเลวร้ายในการเทรดมาได้นี่ครับ ผมต้องไปฝึกตัวเองโดยการนั่งกรรมฐานเลยทีเดียว เพื่อที่จะทำใจให้สงบ มีสมาธิการเทรดดีขึ้น เพื่อนผมพาไปนั่งกรรมฐานกับหลวงปู่ปุณยริต และไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันทำให้ผมเทรดได้ดีขึ้นมากเลยทีเดียว จากตอนนั้น 6 เดือนให้หลังผลกำไรผมได้เพิ่มขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อในระดับ 400 – 500 % ทีเดียวในขณะที่ SET50 วิ่งอยู่ในช่วง 700 +- 7% ทั้งที่ไม่ได้คิดว่าจะได้นะครับ แต่ระดับการตัดสินใจ  การทำสมาธิ การควบคุมอารมณ์ในการเทรด ผมรู้สึกว่าดีขึ้นมากจริงๆ
ที่ผมอยากจะ Share บางครั้งผมก็ไม่ได้ทำสมาธิ ก็มีบางช่วงหลุด เทรดไม่ดีเลย การตัดสินใจแย่ พอกลับมานั่งสมาธิ ก็กลับมาเทรดได้ดีอีกครั้ง ผมเจอกับตัวเอง ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์หรือความเชื่อส่วนตัวหรือไม่ แต่สำหรับผม มันมีผลต่อการเทรด และการเป็นเทรดเดอร์จริงๆครับ
นอกจากผมก็ยังมี mudley (เป็นคนไทยที่เป็น hudge fund ที่ต่างประเทศ) ก็เป็นอีกคนที่ยังให้ความสำคัญของการศึกษาธรรมะ รวมถึงการทำสมาธิเพื่อช่วยในเรื่องของการเทรด เพราะเขาก็เคยถึงขนาดต้องไปหาหมอประสาท รวมถึงกินยากล่อมประสาท เพื่อให้ควบคุมตัวเองให้ได้ในระหว่างการเทรด จนเป็นที่มาของความจำเลือนหายไปบางส่วน  จนท้ายที่สุดเขาก็ค้นพบว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการนั่งสมาธิ ศึกษาธรรมะ เขาก็เป็นอีกคนนึงนะครับที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และยังสรุปอีกว่า ของไทยเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ดีกว่าฝรั่งเยอะทีเดียว
ใครสนใจก็เข้าไปอ่านใน blog ของ mudley ในบางส่วนของเขานะครับ http://mudleygroup.blogspot.com/2010/02/close-fund.html
วันนี้ก็ผสมธรรมะเล็กน้อยนะครับ รวมถึงที่หลวงพ่อจรัญก็เคยบอกไว้ว่า เรานั่งกรรมฐานไม่ใช่เพื่อไปนิพพานอย่างเดียว แต่เราฝึกเพื่อให้เราเดินทางได้ถูกต้อง และทำให้เราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของเราเช่นกัน ไม่ใช่ผลดีทางธรรมอย่างเดียว ยังรวมถึงทางโลกเช่นกันครับ ^^
มาดู mudley เขาเขียนยังบ้างครับ ประวัติน่าสนใจทีเดียวเลยนะครับ และมีประโยชน์มากๆครับ ด้านล่างจะเป็นในส่วนที่ คุณ mudley ได้เล่าเรื่องราว รวมถึงประสบการณ์ที่น่าสนใจให้ฟังครับ
คงมีประโยชน์บ้างนะครับ ^^
boyles

มาตรฐานการฝึกซ้อมของเทรดเดอร์ในเฮดจ์ฟันประเภท Close fund ต่างๆ
ว่าจะมาต่อตอน 3 สักที แต่ไม่ได้ต่อ ต้องขออภัยหากไม่ได้ตอบ อีเมลล์นะครับ เพราะ เยอะจนผมงง ไม่รุ้จะตอบยังไง งวดนี้คงต้องเบาเนื้อหาลงหน่อย เพราะรุ้สึกจะมีน้องๆ ที่อยากจะเป็นเทรดเดอร์และฝึกฝนเมลล์เข้ามาเยอะเหลือ ประมาณว่า แหม พี่ เนื้อหาพี่มันยากเกินไปนะครับ ค่อยๆปูพื้นฐานให้พวกผมด้วย ประมาณอยากจะฝึกฝนแต่ไม่มีคนชี้แนวทางให้ในบ้านเรา 5555 โอเค ครับ น้อมรับ คำแนะนำครับ ก็ถูกอย่างที่น้องๆว่า อะไรที่พอจะเป็นประโยชน์แนวทางให้น้องๆและเพื่อนๆคนอื่นๆได้มากกว่าก็โอเคครับมาว่ากันเล้ย แต่อย่าดุพี่มากน้าพี่ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไร เขียนเนื้อหาในเฮดจ์ฟันมันเร็วดี เพราะ คุ้นเคย และปฏิบัติมา อิอิ J
หลายคนอยากจะเป็นเทรดเดอร์ ก่อนอื่น ต้อง Concept คร่าวๆ ระดับแรกของอาชีพนี้ก่อนนะครับ
คำว่า Trader นั้นใช้ในหลายๆวงการมาก ยกตัวอย่างเช่น Broker ก็จะเป็นผู้ที่รับคำสั่งซื้อขาย ซึ่งบางที่ เทรดเดอร์ก็มีอำนาจในการตัดสินใจซื้อขายด้วยเช่น proprietary trader ซึ่งตัดสินใจซื้อขายบนงบประมาณที่บริษัทมีให้ บางที่ก็รับแค่คำสั่งอย่างเดียวไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเป็นต้น
เส้นทางชีวิตของเทรดเดอร์นั้นช่วงเริ่มแรกค่อนข้างจะลำบากมาก และ มักจะมีผู้ถึงฝั่งฝันที่หวังไม่ถึง 10%ของจำนวนผู้เริ่มต้นตอนแรก (ตามสถิติของ Aima ) แต่ถ้า Trader นั้นมี โค้ช ดี โอกาสสำเร็จก็จะพุ่งขึ้นถึง 70% ในกลุ่ม Trader ที่มี โค้ช นี่เลยเป็นสาเหตุว่าทำไมที่อเมริกาหรือยุโรปจึงมีโค้ชสำหรับเทรดเดอร์ในการฝึกโดยเฉพาะ ถึงขนาดมีนักจิตวิทยา นักคณิตศาสตร์ และ นักวิทยาศาสตร์ เฉพาะกองทุนเฮดจ์ฟันกันเพื่อการนี้เลยทีเดียว
ผมค่อนข้างจะเข้าใจความรุ้สึกน้องๆหลายคนดี เพราะขนาดนักกีฬายังมีโค้ชเลย ถ้าไม่มีคนแนะนำพื้นฐานที่ถูกต้องย่อมทำให้เราหลงทางได้ และการวางพื้นฐานนั้นเป็นหัวใจสำคัญเสียด้วยสำหรับอนาคต หลายคนยังมีพื้นฐานไม่เพียงพอ แต่ก็กระโดดข้ามขั้น ไปจึงทำให้เส้นทางชีวิตเทรดเดอร์นั้นต้องยุติไปอย่างน่าเสียดายก็มีอยุ่มากมาย
เพื่อไม่ให้เสียเวลาเข้าเนื้อหากันดีกว่าครับ
ตัวอย่างแนวทางการฝึกเทรดเดอร์อาชีพ
1. ความอดทน ในการ ควบคุมตนเองและจิตใจ
เพราะขึ้นชื่อก็บออยู่แล้วว่าเทรดเดอร์ดังนั้นการจะต้องเจอราคาเคลื่อนไหว หน้าจอมายั่วยุ นั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นความอดทนในการควบคุมตนเองจึงถือเป็น Skill พื้นฐานที่สำคัญเลย เพราะหลายคนถ้าหลุด ตบะ แตกไปแล้ว มักจะพาให้ระบบเสียไปเป็นพรวน การควบคุมตนเองนั้นเราจะฝึกได้อย่างไรบ้าง
ขั้นแรกต้องฝึกควบคุมขัดขืนในสิ่งที่เราต้องการจะทำอยุ่เสมอแบบอดใจไม่ได้ เห็นเป็นต้องทำ ไม่งั้นจะลงแดงได้ เช่น ของ ผม สมัยอยู่อเมริกา เทรนเนอร์จะเห็นว่าเป็นคนที่ติดการ์ตูนรายสัปดาห์ กับ เกมส์ ค่อนข้างมากเมื่อก่อน โดนสั่งให้ต้องย้ายไปนอนรวมกับเทรดเดอร์คนอื่นที่ห้องพัก ซึ่งไม่มีทั้งเกมส์ทั้งการ์ตูน เน็ตก็ต่อไม่ได้ เมื่อคนเราต้องโดนควบคุมอะไรบางอย่างที่เราชอบทำจนเป็นนิสัยแล้ว แน่นอนต้องใช่พลังในการคอนโทรลตัวเองอย่างมาก ซึ่งถ้าผมทำไม่ได้ออกจากห้องของเพื่อนเทรดเดอร์อีกคนไปเมื่อไรก็จะโดนปรับวันล่ะ 50$ จำได้ว่าด้วยความ เสียนิสัยอย่างรุนแรงของผม ผมต้องจ่ายค่าปรับในเดือนแรกไปถึงราวๆ 1000$ ด้วยกัน!!!!!!! แน่นอนตอนสมัยนนั้นเงินผมก็ยังไม่ได้มากมายอะไรสำหรับที่อเมริกา แถมยังไปอยุ่ในตลาดเสียหมด ยิ่งทำให้สถานการณ์บีบคั้นลำบากขึ้นไปอีก ลำพังเงินเดือนจากการเทรนนิ่งก็น้อยอยุ่แล้ว ยิ่งทำให้ผมต้องไปหางานเสริมทำ( เพื่อนๆที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็จะบอกว่า โห…อะไรกันแค่เกมส์กับการ์ตูนเอง คือ ธรรมชาติของมนุษย์จะมีลักษณะนิสัยที่ชอบทำบางอย่างอยุ่อย่างมากโดยไม่รู้ตัว นักจิตวิทยาเค้าจะเรียกว่าอาการเสพติดความชอบ ซึ่งถ้าความชอบเหล่านั้นถ้าเป็นสิ่งที่ดีก็จะช่วยส่งเสริม ถ้าไม่ดีก็จะช่วยฉุดรั้งเราเอาไว้ ซึ่งในที่นี้เทรนเนอร์ไม่ได้หมายความว่า การ์ตูนกับเกมส์เป็นสิ่งที่ไม่ดีนะครับ เค้าเพียงจำลองให้เห็นว่าเกิดสมมุติมันกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องโดนทำโทษ ผมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อที่จะไม่ต้องรับโทษทัณฑ์เหล่านั้นไหวมั้ย แน่นอนช่วงแรกทำไม่ได้ คนเราจะยอมเจ็บตัวบางอย่างเพื่อให้ได้ตามใจที่มันเรียกร้องอยุ่ จนถึงจุดหนึ่งน่ะครับที่มันทำร้ายเรามากพอเราก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงและเข้าใจอย่างแท้จริง แล้วเราจะคอนโทรลความอยากของเราได้ )
2. การให้รางวัลเมื่อทำตามวินัยและแผนการ ด้วยตัวความอยาก

หลังจากตั้งใจเปลี่ยนกิจกรรมตัวเองเพื่อไม่ให้ถูกลงโทษ ทำตัวดีตามวินัยทุกอย่าง จำได้ว่ากลายเป็นนักpoker และฟิตวิชาการเพราะไม่มีอะไรให้ทำจนกลายเป็นนักคณิตศาตร์ไปเลย เทรนเนอร์ตัวแสบ ก็บอกทำได้ดีมากจะให้รางวัล เป็นเสาร์อาทิตย์กลับไปที่ห้องพักเล่นเกมส์ดูการ์ตูนได้ตามใจชอบ โอ้…ชีวิตมันโหดร้าย เพราะเหมือนคนที่เพิ่งเลิกยาเสพติดได้ โดนให้กลับไปเสพอีกเพื่อเป็นรางวัล นี่ถือเป็นความโหดร้ายอย่างมากต่อจิตใจของคนเรา เพราะนั่นทำให้ผมไม่สามารถที่จะตัดมันได้อย่างแน่แท้ภายในอนาคต เพราะผมก็คนปกติเหมือนกัน มีความชอบ ความอยาก และแน่นอนอย่างที่เทรดเดอร์มือใหม่คนนี้คาดการณ์ไว้ ตัวเองเริ่มกลับมาโดนปรับอีก เพราะการ์ตูนมันออกมาหลายตอนมาก ตามอ่านไม่หมด เพื่อนๆอ่านมาถึงตรงนี้ก็จะเห็นว่าจริงๆแล้วผมไม่ได้เป็นคนที่มีพรสวรรค์หรือเก่งอะไรเลย ผมก็เป็นเฉกเช่นคนทั่วไปเนี่ยหล่ะ การควบคุมตัวเองยังทำได้ไม่ดีด้วยซ้ำ เมื่ออาการมาถึงตรงนี้ร่างกายจะสร้าง Ego มหึมาขึ้นมาเพื่อปกป้องความเชื่อของตัวผมเอง เฮ้ย…เทรนไรเนี่ย ไร้สาระ อั๊วตอนนั้นแข่งหุ้นทั้ง 3เดือนได้ที่ 1 ตลอดนะเว้ย บริหารพอร์ตให้ฝรั่งก็ทำมาแล้ว อย่ามาทำไรไร้สาระแบบนี้ เห็นมั้ยครับ อัตราความโง่ของเด็กคนหนึ่งเริ่มบังเกิด นั่นหล่ะสงครามระหว่างเทรนเนอร์กับเทรดเดอร์โง่เขลาคนนี้ก็เริ่มเกิดขึ้น ผมก็ด้วยความอีโก้สูงมั่นใจในตัวเองแน่แท้แล้ว บอกโห ไร้สาระมากไม่เกี่ยวกับการเทรดหรอก เทรดเดอร์มันอยุ่อยุ่ที่ skill เทรด เทคนิคผมรู้หมด แต่พอเวลาผ่านไประหว่างที่ผมก่อกำแพงปิดกั้นอยุ่นั้น พอร์ตเทรดเดอร์คนอื่นก็แซงผมไปเรื่อยๆ จนผมอยุ่ที่โหล่ ผมหาสาเหตุไม่ได้ ผมไม่เข้าใจเลยทำไมกัน ผมศึกษาทุกรุปแบบของเทคนิคแล้วนะ จิตวิทยาผมก็เรียนรุ้มา Money Management ผมแบ่ง positions ได้ดีแล้วนี่นา ทำไมผมถึงต้องรั้งท้ายแบบน่าเกลียดด้วย (ช่วงนี้หล่ะครับจะอยุ่ที่ว่าคนผู้นั่นจะลืมตามองดูโลกที่แท้จริงได้เร็วแค่ไหน ผมคงได้เพื่อนดีด้วย เพื่อนรัสเซียขาหมากรุกฝรั่งที่ผมชอบเล่นกับเค้าประจำ บอกว่า ยูมันเก่งเกินไป คนเก่งมันเอาตัวรอดไม่ได้หรอก เพราะมันจะรู้ไปหมดทุกอย่าง ทำนั่นก็รู้ ทำนี่ก็รู้ สุดท้ายยูเลยไม่ได้รู้เลยว่าคนอย่างพวกไอเรียนรุ้อะไรกันบ้าง ทำไมยูไม่ลองโง่ดูบ้างล่ะ เมื่อก่อนยูก็โง่มาก่อนนี่นาถึงมาได้ขนาดนี้ แล้วไมตอนนี้ต้องจะฉลาดขึ้นซะงั้นล่ะ ) อ่า แทงใจ ย้อนอดีต เห็นถึงว่าตัวเองเมื่อก่อนเป็นอย่างไร ยุคสมัยแรกก็ติดหุ้นแล้วติดหุ้นอีก แอบเรียนวิชาจากเว็ปบอร์ดในพันทิพมาก่อน แล้วอะไรทำให้เราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เนี่ย ผมเลยเข้าใจเลยว่าบางทีคนเราเนี่ยสามารถลืมตัวได้ทุกคน และ ณ.จุดที่คนเราเริ่มลืมอะไรบางอย่างที่สำคัญเหล่านั้นไปเนี่ย อันตรายจะเริ่มมาเยือน ผมเห็นภาพการล่มสลายของหลายอาณาจักรที่ผู้ปกครองลืมตนหลังจากประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ทันที ผมนี่โง่กว่ามากเลยยังไม่ทันประสบความสำเร็จอะไร แค่ชัยชนะเล็กๆน้อยก็ลืมตัวเสียแล้ว เปรียบได้คงแม่ทัพชั้นปลายเถวคนนึงเลย ตอนอ่านสามก๊กก็ดั๊นไปวิจารณ์กวนอูว่าลืมตัว โห..นี่เรายังไม่ได้ชนะบ่อยเท่าเค้าก็ลืมตัวซะแล้ว เค้าเรียกอะไรน้า ถ่มน้ำลาย รดฟ้ามั้งเนอะ (โอเคหลังจากนั้นผม กลับมาเทรนต่ออีกครั้ง)


3. เปิดใจเรียนรู้ทุกศาสตร์ที่จำเป็นต่ออาชีพของเรา

หลังจากที่กลายเป็นคนที่ควบคุมความอยากความต้องการของเราได้แล้ว สิ่งที่ผมต้องเรียนรุ้ต่อ คือ เอาอีก เทรนเนอร์ ตัวแสบ ให้ผม list วิชาความรู้ที่ผมถนัดในการเทรดมาทั้งหมด ได้เอา list ไปเลย
- Technical Analysis
- Mathematics and Money Management for trader
- Risk Management
- Psychology
- Reflexivity Theory (ยังไม่วายเขียนไปแกล้งมาน)
- Macro Economic
หลังจากนั้นไม่อยากจะเชื่อสายตา ว่าผมจะต้องศึกษาพวก Valuation กับ เศรษฐศาสตร์ของ มาร์ก เฮ้ยนี่มันแกล้งกันหรอในใจคิดอีกแล้ว หนังสือ warren buffet -*- แล้วมีหนังสือของเบนจามินเกรเฮมอีก ซึ่งผมพยามจะหลบเลี่ยงมาโดยตลอด แล้ว มาร์ก นี่มัน คอมมิวนิสต์ไม่ใช่หรอ (เทรนเนอร์ผมบอกว่า เทรดเดอร์ ทุกคนนั้นจะมีสิ่งที่ถนัดและชอบกันอยุ่ทุกคน แต่ในความเป็นมืออาชีพแล้วทุกคนต้องสามารถปฏิบัติงานได้ทุกตำแหน่งตามแล้วแต่โค้ชจะสั่งซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดี แน่นอนความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของคุณนั้นจะได้ใช้อยุ่แล้ว เมื่อคุณจะออกไปมีกิจการหรือทำของตัวเอง ดังนั้นเป็นการดีที่คุณจะเปิดใจเรียนรู้ด้านอื่นๆในระหว่างนี้ไปด้วย ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใจความคิดของผู้คนทั้งหลายในตลาดได้ง่ายขึ้นด้วย) ตอนนั้นนึกในใจ ด้วยอีโก้ที่ยังค้างอยุ่บ้าง 55 ไม่ให้ตูศึกษาพวกข่าวตามช่อง cnbc ได้ด้วยเลยล๊า ข่าวลือด้วยมั้ย
โอ้มันไม่ใช่แค่ศึกษาแล้วมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงระบบการเทรดในพอร์ตที่ผมดูแล จะต้องซื้อขายด้วยหลักการvaluations เท่านั้น แล้วต้องส่ง report ว่าด้วยเหตุผลการซื้อขายอย่างละเอียด -*- เฮ้ย จบกัน จำได้ว่าช่วงนั้นผมลองผิดลองถูกจนจับหัวใจบางอย่างมาใช้ในการเทรดในตลาดหุ้นอเมริกาได้เลย คือ เราต้องเลือกบริษัทที่มี cash flow ที่แน่นอน และต้นทุนของบริษัทไม่ผันผวนมากนัก ดังนั้นหุ้นของผมเวลาฟื้นตัวจากราคาตกต่ำจะไปแรงกว่าคนอื่นเสมอ เพราะจริงๆแล้วระหว่างที่ปัจจัยจิตวิทยามากระทบต่อตลาดนั้น การดำเนินงานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปโดยนัยยะสำคัญเลย บริษัทยังเก็บกระแสเงินสดได้ตลอดเหมือนกับ kzmที่เก็บกระแสเงินได้ทุกวันยังไงอย่างนั้นเลย อ่อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เราไม่จำเป็นต้องเก็บส่วนต่างของราคาหุ้นในตอนแรกก็ได้ กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอที่บริษัททำได้ก็จะเปรียบเสมือนเช่นเดียวกัน หากบริษัทไม่มีต้นทุนที่ผันแปรมากนัก ดังนั้นเมื่อผมถูกส่งเข้าไปแข่ง nasdaq competitions โดยห้ามเทรดดิ้งแล้ว โอเค ผมก็เล็งหาบริษัทที่มีเรทผลตอบแทนจาก cash flow ไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ในช่วงที่ตลาดมีปัจจัยแย่มากๆ สุดท้ายผมจบลงด้วยที่ 15 จากเทรดเดอร์ทั้งหมด 370 คนมั้ง โดยแทบไม่ได้ซื้อขายเลย ระหว่างที่คนอื่นซื้อขายกันยิกๆ
4. เรียนรู้ระบบของผู้สร้าง
-จริงๆน่าจะอยู่ในหัวข้อที่ 3 แต่ผมแยกออกมาแล้วกัน มาร์ก เอามาทำไมเนี่ย มันคอมมิวนิสต์ไม่ใช่หรอ(เทรนเนอร์ผมบอกว่า คนเราเนี่ยจะโจมตีแนวคิดของคนอื่นได้แบบมีเหตุมีผลเนี่ย แสดงว่าคนนั้นต้องพยามศึกษาแนวคิดของคนที่ตัวเองมาไม่ชอบแล้วอย่างดี จนกระทั่งพบจุดบกพร่องบางอย่างของระบบนั้นๆ ดังนั้นเวลายูมองโลกเพื่อให้เห็นความเป็นจริงว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย ให้มองด้วยผลจากการกระทำของผู้คน ทำไมคนชนชั้นนายทุนพยามไม่ให้หนังสือเศรษฐศาสตร์ของมาร์กเผยแพร่หล่ะ เค้ากลัวอะไรอยู่ เวลาเรามองคนต้องมองให้ลึก เปรียบตัวอย่าง ศาสนจักรกลัวว่าตนเองจะเสื่อมอำนาจลงก็จับนักวิทยาศาสตร์ช่วงนั้นไปเผา เพราะกลัวว่าผู้คนจะเรียนรู้ความจริงแล้วตัวเองมาสร้างศรัทธาจากความกลัวของผู้คนในยุคนั้นไม่ได้เป็นต้น อำนาจของกลุ่มตัวเองก็ลดน้อยถอยลง เนี่ยหล่ะผู้คนยูจำเอาไว้เลย คนไม่เคยเปลี่ยน ทำอะไรเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองและกลุ่มเสมอ) ดังนั้นเมื่อผมศึกษาหนังสือของคาร์ลมาร์กซ์ผมก็พบว่าทุนนิยมนั้นมีจุดอ่อน โดยเฉพาะการเชื่อมตัวของมูลค่าตัวสินค้า นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาสินค้านั้นแปรเปลี่ยนได้ง่าย และจุดอ่อนเหล่านั้นหลายผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันชั้นแนวหน้าพยามบอกให้เราแก้ไขปรับปรุงอยุ่เสมอ แต่เพราะอะไรกันคนผู้มีอำนาจถึงยังเพิกเฉยกันอยู่ล่ะ ก็เพราะทุกครั้งที่เราเปลี่ยนรูปแบบหรือกฎกติกาขั้วอำนาจก็จะแปรเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่มีอำนาจจึงพยามรักษาสเถียรภาพของตัวเองไว้ให้นานที่สุด

สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานที่สำคัญที่น้องๆควรจะต้องฝึกไว้บ้างครับ จาก ตย เราจะมาประยุกต์ใช้กับเราอย่างไร
1.สร้างระบบเทรดที่เราคิดว่าเรามั่นใจในตัวระบบแล้วขึ้นมา ถ้าเราทำตามระบบได้แบบไม่มีอารมณ์เข้ามาเทรกได้ใน 1 เดือน ให้ ให้รางวัลด้วยตัวเองกับสิ่งที่เราชอบมาก ที่เรียกว่าขาดไม่ได้ หากเราทำตามระบบไม่ได้แล้วยังแอบไปทำสิ่งที่เราขาดไม่ได้อีก ก็ต้องหาบทลงโทษที่ให้เรารุ้สึกครับ เพราะน้องๆไม่มีคนมาคอยควบคุม ต้องรูว่าถ้าเราคุมตัวเองไม่ได้แล้วล่ะก็ โอกาสที่เราจะสร้างความได้เปรียบในวงการเทรดเนี่ยก็ยากขึ้นไปอีก เพราะเค้าวัดตรงการพลาด และการหลุดการควบคุม หลายๆกองทุนทำมาดีตลอดพลาดท่าหลุดไป 2-3 ครั้ง ถึงกลับทำให้ผู้จัดการกองทุน เสีย Self หลุดโลกทำเจ๊งไปเลยก็มีมาก ซึ่งถ้าเราทำตามระบบที่เราคิดเนี่ยเราจะได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยุ่ เราพลาดอะไรไปหรือปล่าว ที่ตัวระบบของเรา การปรับแก้ที่ถูกต้องก็จะเกิดขึ้น หากเราเสียเพราะไม่ทำตามระบบทำด้วยอารมณ์ก็จะทำให้เราแก้ไปไม่ตรงจุดเลย
2.พยามหาข้อได้เปรียบของระบบเกมส์การเงินให้ได้ ส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญของเทรดเดอร์ ทุกอย่างที่มนุษย์สร้างหรือกำหนดกฏเกณฑ์ขึ้นมามีจุดอ่อนเสมอ การหาจุดอ่อนไม่ใช่การไม่ทำตามกติกาหรือกฎหมายนะครับ เราต้องปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด ผมยกตัวอย่างหมากรุกแล้วกัน ถ้าเราจดจำรุปแบบหมากต่างๆได้หมด เราก็ได้เปรียบคนอื่นอย่างมากเป็นต้น ซึ่งหมากรุกเป็นตาราง 8*8 ยิ่งเราจำรุปแบบหมากกลต่างๆได้มากเท่าไรเราก็ต้องใช้ความคิดเพิ่มเติมน้อยลงไปเท่านั้น เช่นเดียวกัน ในตลาดหุ้นนั้น จำนวนหุ้นนั้นมีจำนวนจำกัด ไม่ได้พิมพ์กันออกมาทุกวัน ด้วยการคาดการปริมาณเงินหมุนเวียนที่มีในระบบ หรือ fund flow ที่สามารถซื้อหุ้นได้ เราก็จะรุ้ได้เลยว่าราคาขั้นต่ำมันจะอยุ่ราวๆไหนเป็นต้น ซึ่งหากเงินมันไหลออกนอกระบบไปมาก โอกาสที่ราคามันจะต่ำลงก็สูงขึ้นเพราะกำลังซื้อมันไม่พอ แต่ถ้าเงินไม่ไหลออกไป แต่มีเพิ่มเข้ามาด้วยปริมาณหุ้นเท่าเดิมโอกาสที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นก็มีมาก หลักการพื้นฐานนี้ใช้ได้เสมอในทุกตลาดทุนทั่วโลกรวมทั้งตลาดอย่างอเมริกาด้วย ทีนี้เราก็จะต้องแก้โจทย์ต่อไปเราจะรุ้ได้ไงว่าเค้าจะซื้อหรือไม่ซื้อ โอเคถ้าเป็นรายย่อยขายถือเงินเนี่ย โดยมากไม่นานก็ซื้อไม่เกิน 1 ปีหรอก บางคนถือเงินสด 2 สัปดาห์ก็ทนไม่ไหวแล้ว อำนาจการต่อรองราคาของรายย่อยเลยน้อยตาม เพราะต้องการที่จะนำเงินสดไปลงทุนหมุนเวียนต่อยอดอยุ่ตลอดเวลา เพราะทนถือเงินได้ไม่นาน แต่ถ้าเป็นฝรั่งเอาเงินออกไปเนี่ยโจทย์จะเปลี่ยนทันที เค้ามีตัวเลือกที่ดีกว่ามั้ย กำไรที่เค้าได้เค้าเอาไปกอดถือไว้เฉยๆลงทุนในพันธบัตรที่ดอกเบี้ยเพิ่งปรับขึ้นเพื่อรอต่อรองราคาก็สามารถทำได้เช่นกัน เป็นต้น หรือแม้แต่ในหุ้นที่เราสนใจเค้าซื้อขายเปลี่ยนมือกันที่ระดับราคาเท่าไรบ้าง ผมก็บันทึกเอาไว้หมดเป็นต้น เลยรุ้ว่าราคาที่ซื้อขายอยุ่ตรงไหนกันบ้าง ตรงไหนเป็นช่องว่างที่คนไม่ค่อยซื้อขายกัน โอกาสราคาจะสวิงในช่วงนั้นก็มีสูง เพราะไม่ค่อยมีต้นทุนจากผู้ถือหุ้นที่จะขายทำกำไรออกมาเป็นต้น
นอกจากขั้นพื้นฐานเหล่านี้แล้วพี่ยังแนะนำต่อไปอีกเพื่อที่เราจะได้พัฒนาได้ดีกว่าฝรั่ง
3.สมาธิ เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าน้องฝึกสมาธิทุกวัน จะส่งผลให้การทำงานของสมองเปลี่ยนไป ระบบการเรียนรู้และความเข้าใจของเราจะทำได้ดีขึ้น ซึ่งการทำสมาธิก็คือการปรับเปลี่ยนคลื่นสมองของมนุษย์เรานั่นเอง ทั้งยังส่งผลต่อระบบอารมณ์และการเข้าใจตนเองอย่างมากด้วย
4.หนังสือคู่มือเทรดเดอร์ที่ดีที่สุด ก็คือหนังสือ พุทธธรรม ของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เล่มใหญ่ ของ ท่านพระธรรมปิฏก ป.อ. ปยุตโต หลายคนสงสัยทำไมผมถึงชอบแนะนำหนังสือเล่มนี้ จริงๆหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่จะเรียกได้ว่าถอดเนื้อหาตามหลักที่สำคัญของพระไตรปิฏกมาหมดก็ว่าได้ เรียกได้ว่าพุทธรรม คือ หนังสือที่ว่าด้วย กฎความจริงของธรรมชาตินั่นเอง ดังนั้น มนุษย์ซึ่งเป็นซับเซ็ตของธรรมชาติ ก็ย่อมหลีกหนีกฎเกณฑ์ความจริงเหล่านี้ไม่พ้นเช่นกัน การที่เราเข้าใจความจริงของธรรมชาติ + สมาธิ แล้ว ย่อมสามารถทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาเจริญปัญญาและจิตใจจนถึงขั้นมากที่สุดเท่าที่ธรรมชาติจะมอบสิ่งนั้นให้เราได้ เพื่อที่ภายในอนาคตเราจะสามามารถช่วยเหลือผู้คนได้อีกมากมายในเส้นทางที่เราจะเลือกเดินไม่ว่าจะทางธรรม ทางโลก หรือ แม้แต่ทางสายวัตถุ หรือ จิตใจ ก็ตาม
5.ความรู้ความชำนาญและความจริง มาจากการปฏิบัติ 70% ความคิด 30% และอย่าเชื่อผู้เชี่ยวชาญในวงการมากนัก พยามดูว่าสิ่งที่เค้าสอนนั้นปฏิบัติแล้วใช้ได้จริงหรือไม่ แล้วดูคนเก่งๆว่าเค้าปฏิบัติอย่างไรอย่าดูที่เค้าพูด เพราะคำพูดมันสร้างสรรค์กันได้ บัฟเฟตเองก็ยังมี positions ในตราสารอนุพันธ์คิดเป็นมูลค่าแล้วราวๆ 40% ของ Profit sharing เลยทีเดียว แม้กระทั่งปรมาจารย์เทคนิคบางท่านของฝรั่ง แต่กลับไม่ลงทุนเองนำเงินจากการขายหนังสือไปลงทุนกับเฮดจ์ฟันจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้มันช่วยให้เรามองเห็นอะไรบางอย่างในโลกนี้มากขึ้นหรือไม่ เมื่อสายตาเรามองอย่างปราศจากอคติ เป็นต้นครับ
6.อย่าลืมตัวว่าเก่งแล้วรุ้แล้วเด็ดขาด (อันนี้สำคัญมาก อย่าเป็นเหมือนพี่) สมองของมนุษย์เนี่ยมันทำงานตามความเชื่อและความคิดของเรา มันเป็นโปรแกรมอัติโนมัติ โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะมันเป็นธรรมชาติของร่างกายที่มันออกแบบมาอย่างนั้น มันจะทำให้เราหยุดการเรียนรุ้และพัฒนาอย่างทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เทรดเดอร์หลายคนหยุดพัฒนาการลงไป ให้น้องๆพยามนึกถึงว่าเมื่อก่อนเราเป็นเช่นไร เราเรียนรุ้มาอย่างไร ถึงได้พัฒนาตัวเองได้ แน่นอนอาการลืมตัวจะค่อยๆหมดไปถ้าเราฝึกสมาธิได้ในระดับที่ดีมากๆแล้วเพราะเราจะเริ่มเรียนรุ้ความจริงของธรรมชาติเองว่าตัวเรานั้นเป็นอย่างไร แต่ก่อนที่เราจะมีสมาธิในระดับที่ดีแล้วก็ห้ามลืมกฏข้อนี้ครับ
เขียนมาเยอะเลยไม่ได้เรียบเรียงเขียนจากประสบการณ์และความเข้าใจจากไดอารี่ หวังว่าพอเป็นไอเดียและประโยชน์กับน้องๆเทรดเดอร์หน้าใหม่ในวงการได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ กว่าจะมาเขียน market modelคราวหน้า พี่ก็คงคิดว่าอีก 2-3 เดือนมั้งครับ แล้วเจอกันอีก 2-3 เดือนข้างหน้านะครับ

ปล. พี่อาจจะเขียนประสบการณ์ได้ไม่ครบถ้วนหรือครบถ้วนก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะว่า เอาแต่ส่วนเนื้อหาที่อยุ่ในไดอารี่ส่วนตัวมาเขียน เท่านั้น เนื่องจากพี่มีปัญหา Effect เกี่ยวกับระบบความทรงจำหลังจากการสะกดจิตที่อเมริกาและการกินยาบางอย่างเพื่อช่วยในการสะกดจิต ในระหว่างการเทรนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการเป็นเทรดเดอร์ และข้อเสียของมันทำให้ความทรงจำของพี่ ค่อยๆเริ่มเลือนหายไปหมดเลยเหมือนมันลบไปเองได้ ตอนนี้จำได้คร่าวๆถึงแค่ตอน ม.6 เลือนลาง ตอนมหาวิทยาลัยที่เพิ่งเข้าตลาดมาใหม่ๆก็เริ่มจะหายไปมากๆแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นการยืนยันอีกเสียงว่า วิธีสมาธิยังไงก็ดีกว่าวิธีของฝรั่งครับ J

5 หนทาง ในการจัดการกับตลาดที่เต็มไปด้วยความกลัว


เมื่อย้อนไปปี 2008 ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความหวาดวิตกมากมาย และมันเป็นช่วงเวลาที่ยาก ในการสงบจิต สงบใจในการเทรดให้ได้ตามแผนการที่เราวางไว้ เดี๊ยวเราก็จะมาดูกันว่าเราจะจัดการ และมี
สมาธิกับตลาดที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวนี้ได้อย่างไร
เริ่มแรกเรามาทำความเข้าใจกับ ตลาดเบื้องต้นก่อนตลาดหุ้นให้โอกาสกับนักเทรดทุกคนอยู่แล้ว ทุกคนสามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคา ทุกคนมีอิสระในการสร้างผลลัพธ์ และกำไรให้กับตัวเอง
ความกลัวในที่นี้หมายถึง ความกลัว ความหวาดวิตก ความรู้สึกไม่ปลอดภัย
ผู้เขียนได้ยกตัวอย่าง จากหนังสือของ mark douglas ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของนักเทรดว่าขาดความเชื่อที่จะทำให้ได้ตามที่ตัวเองวางแผนไว้ตลาดมันไม่เคยผิด เป็นก็เป็นของมันอย่างนี้แหล่ะตลาดไม่เคยเอาอะไรไปจากคุณ ถ้าคุณไม่อนุญาติให้เอาไปเมื่อคุณตัดสินใจไปแล้ว คุณไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงอะไร ยกเว้นคุณเปลี่ยนใจ คุณต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน
จากข้อความที่ได้กล่าวมา มันชัดเจนอยู่แล้วว่า  นักเทรดที่ประสบความสำเร็จจะมีความสามารถที่จะปรับตัวกับโอกาสต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และสะสมกำไรมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช้ให้ตลาดเป็นอย่างที่เราคิด
คุณตกในความหวาดกลัวหรือไม่ ???
ความกลัวเป็นส่วนหนึ่งของตลาด ถ้าคุณถูกความกลัวคลอบงำ ตลาดจะน่ากลัวสำหรับคุณเสมอ  และมากไปกว่านี้ มันยังทำให้คุณตัดสินใจผิดพลาดมองข้ามโอกาสดีๆในการเทรด  และยังกระทำการบางอย่างที่ผิดพลาดได้อย่างง่ายดายด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยที่มันจะปั่นทอนกำไร หรือทำให้เราขาดทุนได้ในท้ายที่สุด
ที่อเมริกา เขาก็มีเครื่องมืออันนึง เพื่อวัดระดับความกลัว ซึ่งเรียกว่า VIX
การเทรด คุณควรมองเป็นธุรกิจอันนึง ซึ่งกฏที่สำคัญข้อนึงคือ คุณต้องมีเงินหมุนในธุรกิจของคุณให้พอ การปกป้องเงินทุนของคุณคืองานหลักเลยทีเดียวถ้าคุณไม่มีเงินทุนที่เพียงพอ คุณก็เป็นผู้แพ้ไปครึ่งตัวตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นเลย
การเทรดเกินตัว และตัวคุณ
ห้ามเทรดเกินตัวโดยเด็ดขาด  นั่นจะกินพลังงานของคุณอย่างมหาศาล และยังมีส่วนทำให้คุณไม่สามารถมีสมาธิกับข้อมูลต่างๆ และประสิทธิภาพการเทรดคุณจะลดลงอย่างชัดเจนกฏข้อนี้สำคัญมาก และต้องจำให้ขึ้นใจ คุณจะมีโอกาสประสบความสำเร็จใจธุรกิจนี้  การจัดการเงินทุน คุณก็ต้องบริหารความเสี่ยงควบคู่ไปด้วย ซึ่งมีกฏ 5 ข้อที่คุณจะต้องทำเมื่อคุณคิดว่าคุณอยู่ในตลาดที่เต็มไปด้วยความกลัว
กฏ 5 ข้อในการเทรด
1. เทรดให้ได้ตามระบบ ระบบต้องเป็นระบบที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าทำกำไรได้จริงๆ ซึ่งก็อาจจะมีบ้างที่ต้องขาดทุนบ้าง  ที่สำคัญคือไม่มีระบบอะไรในโลกที่ถูกต้อง 100 % ระบบที่ถูกต้องเพียง 50 % ก็เพียงพอแล้วแต่เมื่อเทรดถูกทางต้องได้กำไรมากกว่าตอนขาดทุน
2. ห้ามเทรด โดยคิดไปก่อน คิดเอง เข้าเล่น ก่อนที่ระบบจะส่งสัญญาณให้เข้าทำกำไร หรือสั้นๆคือ ห้ามแหวกกฎ ถ้าระบบยังไม่ให้ซื้อก็ต้องรอเฉยๆ
3. ใช้จุดตัวขาดทุนเสมอ ก่อนที่คุณจะเข้า คุณต้องมีจุดขาดทุนที่ชัดเจนเสมอ ให้คิดจุดออกให้ได้ก่อน แล้วจึงตัดสินใจเข้า นั่นจะทำให้คุณคำนวณความเสี่ยงได้
4. ห้ามปล่อยให้กำไร เปลี่ยนเป็นขาดทุน ใช้ trailing stop เมื่อพอร์ตคุณมีกำไรแล้ว
5. เทรดให้อยู่ในเทรน อย่าพยายามหาจุดสูงสุด หรือจุดต่ำสุด เพื่อที่จะเทรดสวนเทรน
ทำตามกฏเหล่านี้ และใช้เวลาในการฝึกจิตวิทยาเพื่อนำไปสู่การเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ  สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยากที่สุดของนักเทรดมืออาชีพเพื่อให้ได้เป้าหมายของคุณ
นอกจากความรู้ ความมั่นใจแล้ว คุณยังต้องเชื่อมั่นอย่างจับใจ และปราศจากคำถามใดๆ เกี่ยวกับวิธีการเทรดของคุณ ดังที่ mark douglas ได้บอกไว้ว่า
“ตลาดไม่สามารถทำอะไรนักเทรด ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง และเทรดได้ตามแผนการของตนเองอย่างเคร่งครัด ในทุกสภาวะตลาด”
จบล่ะครับแปลเข้าใจเป่ามะรู้นะครับ มือใหม่
boyles

english version
Five Ways to Stay Focused In Scary Markets
In the fallout from the 2008 global financial crisis, there have been moments that have been driven by pure fear. These are the moments when it can be hard to maintain your composure and trade your plan. Unfortunately, these big days are the times when you need that composure the most. Here is a quick lesson in why it is important to keep focused in a scary market and how to achieve that focus.
Market Basics
First let us understand some market basics. Markets exist to facilitate trade. From moment to moment the market offers traders the opportunity to profit from price movement. It’s an environment where every trader has the freedom to create his own results, i.e. all the choices and the power to exercise those choices reside with the trader.
‘Scary’ implies fear, anxiety, or insecurity.
In his book, The Disciplined Trader, Mark Douglas addresses these issues in a no-nonsense, no holds barred way.
Let me give you an example of his views on this subject:
“It was only the lack of trust I had in myself to do what was needed to be done that I was really afraid of.”
“The market is never wrong in what it does; it just is.”
“The market cannot take anything away from you that you don’t allow.”
“In the trading environment the outcome of your decisions is immediate, and you are powerless to change anything except your mind. You have to learn to flow with the markets; you are either in harmony with them or you are not.”
It becomes self evident that your trading success will be dependent on your ability to correctly perceive opportunity, to execute a trade arising from that perception and your ability to allow your profits to accumulate.
Are You Consumed by Fear?
Markets are inherently scary. If you are a trader consumed by fear, then the market will always be scary, and the only variable is how scary it is at any given time. When consumed by fear a trader is doomed to failure. Fear will twist your perceptions and blind you to the opportunities available. Fear will almost always drive us to make the wrong action, and it will without question make us totally incapable of accumulating profits that might be made.
Even for disciplined and proven successful traders, the markets can be scary. Objectively scary markets can be quantified by the Volatility index, the VIX – the ticker symbol for the Chicago Board Options Exchange (CBOE) Volatility Index. It is constructed using the implied volatilities of a wide range of S&P 500 index options. This volatility is meant to be forward looking and is calculated from both calls and puts. The VIX is a widely used measure of market risk and is often referred to as the “investor fear gauge.” Levels below twenty are associated with market complacency and over thirty with increasing market anxiety. Extremes are often excellent contrarian indicators.
Past performance is not necessarily indicative of future results.
Chart courtesy of Barchart.com
Trading should be considered a business, and your rules should reflect good business practices. These would include adequate capitalization. Conservation of capital is your primary job. If you are under-capitalized, you are half way to the losers stall before you even start.
Over-Trading & You
Do not over-trade. This too will drain your energy, your attention to detail, your perception of price changes and the efficiency of your trade execution. Over-trading will inevitably drain your capital from your account to the guy on the other side of your trades, who you can be sure does not have his/her perceptions blunted. If you have this as your guiding star, chances are you will eventually succeed in this business. Preserving capital is closely associated with risk management, and I will address this in the five things you can do when there is evidence of market anxiety.
5 Rules to Trade By
1) Stick to a Trading System that has proved itself over time to be profitable despite losing trades. No system is 100% correct. It only needs to be correct 50% of the time if profits are substantially greater than losses.
2) Never Anticipate Your System. Let your system fully play out so that its various criteria are fulfilled before entering your trade. When in doubt keep out or if already in a trade, get out!
3) Always Use Stops; NEVER trade without them. Make it your practice to enter your stop loss trade before you enter your trade.
4) Never Let a Winning Trade Become a Losing Trade; use a trailing stop once your trade is showing a profit. Once a trade is showing a two-point profit, consider bringing in your stop to the entry price. Should the market unexpectedly reverse, it would be a scratch trade. After that trail your stop two points for every two point prices move in your favor.
5) Trade with the Trend. Do not attempt to pick tops and bottoms to trade against the trend.
Following these principles and spending the time necessary to create the psychological stability necessary to succeed is the most difficult part of this profession. Your goal should be to have the self knowledge and confidence that you unquestionably believe in your trades. Identify with Mark Douglas’ dictum, “markets can’t do anything to any trader who completely trusts himself to act appropriately, in his best interests, under all market conditions.”
Best Trades to you,
Larry Levin
Founder & President- Trading Advantage

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ ก่อนการเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้น หรือ Future

ผมไปดู Vdo คุณมดมา เลยอยากจะขอเอาที่สำคัญๆมาลง ต้องนี่สำคัญมาก ผมเทรด Future อยู่ และมันเป็นอาไรที่โดน ที่ใช่มากเลยครับ ในการเป็นนักเก็งกำไรในตลาด เดี๊ยวผมจะสรุปให้ฟังว่ามันมีอาไรบ้าง






ขอเอาคำพูดที่ผมชอบ เอามาเป็นช่วงที่สำคัญและเป็นข้อคิด เตือนใจในการเข้ามาเก็งกำไรในตลาดนะครับ

90% คือจิตวิทยาการลงทุน อีก 10% อยู่ที่วิธีการลงทุน

ตรงนี้ผมขอเพิ่มด้วยนะครับ เป็น 60% จิตวิทยาการลงทุน 30% money management 10% technical หรือวิธีการลงทุนล่ะครับ ผมขอเพิ่ม money management เข้าไปด้วยนะครับ ยังไงนักเก็งกำไรมือใหม่อย่าลืม เรียนรู้เรื่องนี้ด้วยนะครับ ผมว่าสำคัญมาก


ราคาของหุ้นนั้น จะแยกตัวไปคนละทางกับมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานของมัน

โดยที่มันถูกขับเคลื่อนไปด้วยอารมณ์ของฝูงชน

และคุณควรจะตระหนัก หรือรับรู้ไว้ว่า..นี่คือแรงขับเคลื่อนของตลาดหุ้นที่แท้จริงครับ


นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่นั้น..มักพบว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกินในการที่จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น

นั่นก็เพราะว่า… “พวกเขาเชื่อว่า การเคลื่อนไหวของราคามีรูปแบบของมัน จนเกินกว่าความเป็นจริงครับ”

พวกเขามักคิดไปว่า ราคาหุ้นควรจะเป็นอย่างไร ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว คุณไม่มีทางรู้ได้อย่างแน่นอนเลยว่า พรุ่งนี้.. จะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง! Larry Levin คือนักเก็งกำไรที่มีประสบการณ์มามากกว่า 20 ในตลาด

ได้บอกกับเราว่า..ความลับในการที่จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นนั้น คือการที่คุณต้องเปลี่ยนวิธีคิดของคุณ และเชื่อจริงๆว่า..

คุณไม่มีวันรู้.. ว่าตลาดจะวิ่งไปทางไหน

ตรงนี้ ผมมองว่ามันสำคัญมาก ว่าเราอาจจะคำนวณ Target ด้วยเครื่องมืออาไรก็แล้วแต่เราต้องตระหนักเสมอว่า เราไม่ได้กำหนดตลาด ตลาดมีโอกาสวิ่งไปทางไหนก็ได้ เราจะได้ระวังมากขึ้น

คนที่ฉลาดมากๆส่วนใหญ่นั้นมักจะเป็นคนสุดท้าย ที่จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น

เพราะพวกเขามักรู้สึกว่า พวกเขาสามารถที่จะ..

รู้ได้ว่า ตลาดจะเป็นอย่างไร!

คุณต้องกลับมาตระหนักให้ดีว่า..

คุณไม่สามารถไปบังคับอะไรมันได้

ดังนั้น คุณจึงควรกลับมาบังคับตัวคุณแทน”

นักเก็งกำไรมืออาชีพอย่าง Larry Levin ได้บอกกับเราว่า

เขาต้องใช้เวลาถึง 5 ปี กว่าที่เขาจะสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ

และเขายังได้บอกกับเราอีกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณควรจะต้องรู้ และเข้าใจก็คือ..

“คูณไม่มีวันรู้ได้อย่างแน่นอนว่า ตลาดจะเป็นอย่างไร”

ดังนั้น จงอย่ายึดติดกับ “ความเห็น” ของคุณค่ะ

ผมอยากจะบอกว่า “จุดตัดขาดทุน” นั้น

เปรียบเสมือน “เพื่อน” ของคุณครับ

แต่สำหรับนักเก็งกำไรมือใหม่หลายๆคนนั้น

พวกเขามักที่จะไม่ยอมใช้มัน

จงเขียนกฏในการเข้าซื้อ-ขายของคุณ

และทำตาม “กฏ” ของคุณอยู่ตลอดเวลาค่ะ

ในโลกของการเก็งกำไรนั้น คุณจะต้องมีระบบของคุณเอง

คุณจะต้องรู้ว่า คุณต้องการที่จะ..

สุญเสียเงินคุณมากเท่าไหร่ในแต่ละครั้ง

ในขณะที่คุณกำลังพยายามที่จะเรียนรู้ในตลาดหุ้นค่ะ

จงเล่นด้วยเงินทีละน้อย!

เช่น แค่ 1-2 สัญญาหากคุณเก็งกำไรในตลาดล่วงหน้า

หรือซื้อหุ้นไม่เกินครั้งละ 100 หุ้นเท่านั้นค่ะ

ความจริงแล้วในบางครั้ง การเริ่มต้นเก็งกำไรด้วยเงินจำนวนมากนั้น

อาจะทำให้..

คุณยิ่งหมดตัวเร็วขึ้นก็ได้ครับ

เขาได้บอกกับเราว่า ปัญหาหลักๆสำหรับนักเก็งกำไร และนักลงทุนส่วนใหญ่ก็คือ

พวกเขาไม่ได้กระจายความเสี่ยงอย่างเพียงพอนั่นเอง

เขากล่าวว่า นักลงทุนทั่วๆไปนั้น มักทำผิดพลาด

ด้วยการถือหุ้นประมาณ 2 ตัว ด้วยเงินที่เท่าๆกัน

หรือคิดเป็นตัวละประมาณ 50% ของเงินทุนเลยทีเดียว

และเขายังได้บอกเราอีกว่า วิธีการที่จะเอาชนะอุปสรรค จากอารมณ์ของเราได้นั้น

คือการมีระบบการลงทุนที่ดี และ “วินัย” ที่จะทำตามระบบได้เป็นอย่างดี

เดี๊ยวผมว่าจะกลับมา update ใหม่นะครับ มันงงๆ เดี๊ยวว่าจะลบแล้วสรุปดีกว่า

Boyles


http://mangmaoclub.com/trading-psychology-first-business-tv-1/
http://mangmaoclub.com/trading-psychology-first-business-tv-2/

updating