วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Dow Theory ต้นกำหนดสรรพสิ่ง เทคนิคและระบบ

Dow Theory คืออะไร และทำไมถึงน่าสนใจ ผมจะลองสรุปเท่าที่รวบรวมข้อมูลได้นะครับ

Dow Theory คือ ทฤษฎีที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยนายชาร์ลส์ เอช ดาว (Charles H. Dow) ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค เมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว แต่กฏ และหลักการของดาว ยังคงใช้ได้ตราบจนถึงปัจจุบัน หลักการนี้มิได้พูดถึงเพียงการวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือ การเคลื่อนที่ของราคาหุ้น แต่สิ่งนี้ถือเป็นปรัญญาของตลาดหุ้น ที่อธิบายถึงพฤติกรรมของตลาดหุ้นที่ยังคงเหมือนเดิม เกิดขึ้นซ้ำๆเฉกเช่นเดียวกัน กับตลาดหุ้นเมื่อ 100 ปีที่แล้ว

ทำไม Dow Theory จึงน่าสนใจ ?

ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อ 100 ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน หลักการของดาวก็ยังเป็นจริงอยู่ พิสูจน์ได้อยู่ การเคลื่อนไหว การเก็งกำไรในตลาดหุ้นก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าทฤษฎีอาไรก็ตามที่เกิดในปัจจุบันล้านแล้วแต่มีจุดเริ่มต้นจาก Dow theory ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น elliott wave ระบบต่างๆในปัจจุบันเช่น peak and through system ดังนั้นถ้าเราจะเรียนรู้เพื่อเขียนระบบการเทรดของเราขึ้นมาเอง เราควรจะอิงทฤษฎีดาวด้วย

มีหลายต่อหลายคนพยายามคิดทฤษฎีใหม่ วิธีการเทรดใหม่ๆ ขึ้นมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จและเสียเวลามากมายไป ดังนั้นเราอาจจะมี 2 ทางเลือก คือ 1. คิดค้นขึ้นใหม่ อย่างเช่น buffet เราก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเทรดด้วยวิธีอาไร เช่นกันทฤษฎีดาวก็ถูกเปิดเผยหลังจากดาวตายไปแล้วเช่นกัน ถ้าเราคิดผิด มันก็แลกด้วยเวลาของเราเช่นกัน 2. ทำตาม เรียนรู้สิ่งที่มันสามารถใช้ทำเงินให้กับเราได้จริง

สำหรับผม ผมเลือกวิธีที่ 2 เพราะผมคิดว่าคงไม่สามารถมีเวลา ไปนั่งคิด ทดลองอาไรขึ้นมาใหม่ๆ ดังนั้นการเทรดโดยใช้ทฤษฎีที่ใช้ได้มาเป็นเวลา 100 ปี และในปัจจุบันก็ยังเป็นจริงอยู่ จึงน่าสนใจที่เราจะเรียนรู้

ต่อไปเราจะมาดูว่าทฤษฎีดาวว่ามีอาไรบ้าง

1. The Averages Discount Everything
2. The Market is comprised of three trends
- Primary trend (>1 year)
- Secondary Trend or intermediate trend ( 1-3 months)
- Minor trend ( Day - 3 weeks)
3. Primary trends have three phases: 1. accumulation 2. public participation 3. Distribution
4. The averages must confirm each other
5. the volume confirms the trend
6. A trend Remains intact until it gives a definite reversal signal

หลังจากเราได้หัวข้อใหญ่ๆแล้ว แล้วมาดูรายละเอียดของแต่ละหัวข้อกัน

1. The Averages Discount everything.

ราคาคือบทสรุปของทุกอย่างเหมือนกับหัวข้อที่เคยพูดไปแล้ว Market Action Discounts everything ยังคงเป็นหลักการเดิม ไม่ต้องพิจารณา Fundametal Factors เพราะมันอาจทำให้เราสับสน หลายๆคนคงไม่เห็นด้วยแต่มัน make sense สำหรับคนไม่มีความรู้เกี่ยวกับพื้นฐาน อย่างเช่น นักบัญชี หรือนักเศรษศาสตร์ ก็ไม่สามารถทำกำไรได้ในตลาดหุ้นได้

2. The market has Three Trends Uptrend, Downtrend and Sideway
2.1 Primary คือ Trend ใหญ่มักยาวเป็นปี
2.2 Secondary คือ Corrections การปรัฐานมักใช้เวลา 2 - 3 สัปดาห์ จนถึง 2 - 3 เดือน

2.3 Minor คือ Ripples เล็กๆใน correction


ต่อไปจะภาพตัวอย่าง ขออนุญาตเอา file สัมมนาของลุงโฉลกมาประกอบนะครับ เป็นรูปที่เข้าใจง่ายดี และเหมาะเอาไว้ดูทบทวนด้วย

สิ่งสำคัญอันดับต้นๆเราต้องอ่าน Trend ให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาเลือก indicators ต่างๆ มาจะ Trade อย่างไร

3 Major Trend Has Three Phases ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นที่มาของทฤษฏี Elliot Waves
1. Accumulation (Wave 1&2) สะสมหุ้น
2. Public Participation (Wave 3&4) นักลงทุนทั่วไปเริ่มเข้ามา
3. Distribution (Wave 5) เป็น wave ของการขายทำกำไร จะเป็นคลื่นสุดท้ายของการเก็งกำไร และเป็นคลื่นที่แมงเม่าเริ่มเข้ามา

4. The Averages must confirm each other
หมายความว่าถ้า industrial index ขึ้น transport index ก็ควรจะขึ้นเหมือนกัน trend ควรจะ confirm กัน ถ้าตัวนึงขึ้น อีกตัวลง แสดงว่าขัดกัน เศรษฐกิจยังไม่ไป ประเทศไทยยังไม่มี ดูได้แต่ Set อย่างเดียว

คือถ้าบริษัทขนส่ง ขนของดีแสดงว่าบริษัทจะต้องมียอดขายดี ดังนั้นหุ้นขนส่งควรจะสัมพันธ์กับหุ้นอุตสาหกรรมต่างๆด้วย

5. Volume must confirm the thrend
Volume ควรจะสนับสนุนของขึ้น ลง ของ Trend ด้วย ลุงโฉลกไม่แนะนำให้ดูมาก เพราะมันไม่ชัดเจน เพราะถ้าหุ้นขึ้น volume มันต้องเยอะตามอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่มีคนซื้อหุ้นจะขึ้นได้ยังไง

แต่หลักการข้อนี้ ก็สามารถเอาไปใช้ได้ในการระวังการเคลื่อนไหวของตลาดจริง ถ้าหุ้นลง volume เยอะตามให้เราเตรียมระวังเพราะมันมีโอกาสสูงที่จะลงต่ออีกหลายวันได้ ในทางกลับกันหุ้นในหุ้นขาขึ้นเช่นกัน แล้วเราจะรู้ได้ยังไงมาตอนไหนเรียกว่า volume เยอะหรือน้อย ตามความเข้าใจผมเราอาจจะใช้ค่า average ของ volume ในช่วงขณะนั้นเป็นเกณฑ์ ยังไงลองสังเกต แล้วลองเอาไปทดลองดู

6. A trend is assumed to be in effect until it gives definite signals that it has reversed
เมื่อราคาขึ้นจะขึ้นต่อ และเมื่อราคาลงจะลงต่อ จนกว่าจะมีสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน

The use of closing prices and presense of lines
Dow ใช้เฉพาะ Closing prices ไม่ใช้ intraday และใช้ดูสัญญาณ Reversal จาก Bear มาเป็น bull เมื่อ new trough > previous trough และ closing price > previous peak ( Peak & trough System)

Some Criticisms of Dow theory
เพราะทฤษฏีเรื่องการเปลี่ยน Trend ทำให้ Dow Theory จะเข้า ออก ช้าเกินไปเสมอ และจะขาดทุนกำไรประมาณ 20 - 25% นักลงทุนทั่วไปพยายามหาวิธี Trade ทีั่ดีกว่า Dow's Theory แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังสงสัยว่าจะมีระบบอะไรที่ทำได้ดีกว่า ลุงโฉลกได้แนะนำการใช้ระบบ Peak and trough System โดยปรับเปลี่ยนนิดหน่อย แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมมาก แต่สิ่งสำคัญเราต้องรู้จักวิธีการใช้ ข้อดี ข้อเสียด้วย ไว้จะ Update อีกที


boyles

ที่มา www.chaloke.com
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/06/I7943662/I7943662.html





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น