วันนี้ก็คุยกับเพื่อนใน group เกี่ยวกับเรื่อง ธรรมะ สมาธิและการเทรดนะครับ เลยอยากมา Share ประสบการณ์นะครับ รวมถึง Share เรื่องราวของ mudley group ด้วยครับ
สิ่งนึงที่ผมให้ความสำคัญมากเป็นลำดับต้นนอกจากเทคนิค คือเรื่องของจิตวิทยา การทำสมาธิ ถ้าใครเคยอ่าน ประวัติผมในช่วงที่ผมผ่านช่วงเลวร้ายในการเทรดมาได้นี่ครับ ผมต้องไปฝึกตัวเองโดยการนั่งกรรมฐานเลยทีเดียว เพื่อที่จะทำใจให้สงบ มีสมาธิการเทรดดีขึ้น เพื่อนผมพาไปนั่งกรรมฐานกับหลวงปู่ปุณยริต และไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันทำให้ผมเทรดได้ดีขึ้นมากเลยทีเดียว จากตอนนั้น 6 เดือนให้หลังผลกำไรผมได้เพิ่มขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อในระดับ 400 – 500 % ทีเดียวในขณะที่ SET50 วิ่งอยู่ในช่วง 700 +- 7% ทั้งที่ไม่ได้คิดว่าจะได้นะครับ แต่ระดับการตัดสินใจ การทำสมาธิ การควบคุมอารมณ์ในการเทรด ผมรู้สึกว่าดีขึ้นมากจริงๆ
ที่ผมอยากจะ Share บางครั้งผมก็ไม่ได้ทำสมาธิ ก็มีบางช่วงหลุด เทรดไม่ดีเลย การตัดสินใจแย่ พอกลับมานั่งสมาธิ ก็กลับมาเทรดได้ดีอีกครั้ง ผมเจอกับตัวเอง ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์หรือความเชื่อส่วนตัวหรือไม่ แต่สำหรับผม มันมีผลต่อการเทรด และการเป็นเทรดเดอร์จริงๆครับ
นอกจากผมก็ยังมี mudley (เป็นคนไทยที่เป็น hudge fund ที่ต่างประเทศ) ก็เป็นอีกคนที่ยังให้ความสำคัญของการศึกษาธรรมะ รวมถึงการทำสมาธิเพื่อช่วยในเรื่องของการเทรด เพราะเขาก็เคยถึงขนาดต้องไปหาหมอประสาท รวมถึงกินยากล่อมประสาท เพื่อให้ควบคุมตัวเองให้ได้ในระหว่างการเทรด จนเป็นที่มาของความจำเลือนหายไปบางส่วน จนท้ายที่สุดเขาก็ค้นพบว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการนั่งสมาธิ ศึกษาธรรมะ เขาก็เป็นอีกคนนึงนะครับที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และยังสรุปอีกว่า ของไทยเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ดีกว่าฝรั่งเยอะทีเดียว
ใครสนใจก็เข้าไปอ่านใน blog ของ mudley ในบางส่วนของเขานะครับ http://mudleygroup.blogspot.com/2010/02/close-fund.html
วันนี้ก็ผสมธรรมะเล็กน้อยนะครับ รวมถึงที่หลวงพ่อจรัญก็เคยบอกไว้ว่า เรานั่งกรรมฐานไม่ใช่เพื่อไปนิพพานอย่างเดียว แต่เราฝึกเพื่อให้เราเดินทางได้ถูกต้อง และทำให้เราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของเราเช่นกัน ไม่ใช่ผลดีทางธรรมอย่างเดียว ยังรวมถึงทางโลกเช่นกันครับ ^^
สิ่งนึงที่ผมให้ความสำคัญมากเป็นลำดับต้นนอกจากเทคนิค คือเรื่องของจิตวิทยา การทำสมาธิ ถ้าใครเคยอ่าน ประวัติผมในช่วงที่ผมผ่านช่วงเลวร้ายในการเทรดมาได้นี่ครับ ผมต้องไปฝึกตัวเองโดยการนั่งกรรมฐานเลยทีเดียว เพื่อที่จะทำใจให้สงบ มีสมาธิการเทรดดีขึ้น เพื่อนผมพาไปนั่งกรรมฐานกับหลวงปู่ปุณยริต และไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันทำให้ผมเทรดได้ดีขึ้นมากเลยทีเดียว จากตอนนั้น 6 เดือนให้หลังผลกำไรผมได้เพิ่มขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อในระดับ 400 – 500 % ทีเดียวในขณะที่ SET50 วิ่งอยู่ในช่วง 700 +- 7% ทั้งที่ไม่ได้คิดว่าจะได้นะครับ แต่ระดับการตัดสินใจ การทำสมาธิ การควบคุมอารมณ์ในการเทรด ผมรู้สึกว่าดีขึ้นมากจริงๆ
ที่ผมอยากจะ Share บางครั้งผมก็ไม่ได้ทำสมาธิ ก็มีบางช่วงหลุด เทรดไม่ดีเลย การตัดสินใจแย่ พอกลับมานั่งสมาธิ ก็กลับมาเทรดได้ดีอีกครั้ง ผมเจอกับตัวเอง ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์หรือความเชื่อส่วนตัวหรือไม่ แต่สำหรับผม มันมีผลต่อการเทรด และการเป็นเทรดเดอร์จริงๆครับ
นอกจากผมก็ยังมี mudley (เป็นคนไทยที่เป็น hudge fund ที่ต่างประเทศ) ก็เป็นอีกคนที่ยังให้ความสำคัญของการศึกษาธรรมะ รวมถึงการทำสมาธิเพื่อช่วยในเรื่องของการเทรด เพราะเขาก็เคยถึงขนาดต้องไปหาหมอประสาท รวมถึงกินยากล่อมประสาท เพื่อให้ควบคุมตัวเองให้ได้ในระหว่างการเทรด จนเป็นที่มาของความจำเลือนหายไปบางส่วน จนท้ายที่สุดเขาก็ค้นพบว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการนั่งสมาธิ ศึกษาธรรมะ เขาก็เป็นอีกคนนึงนะครับที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และยังสรุปอีกว่า ของไทยเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ดีกว่าฝรั่งเยอะทีเดียว
ใครสนใจก็เข้าไปอ่านใน blog ของ mudley ในบางส่วนของเขานะครับ http://mudleygroup.blogspot.com/2010/02/close-fund.html
วันนี้ก็ผสมธรรมะเล็กน้อยนะครับ รวมถึงที่หลวงพ่อจรัญก็เคยบอกไว้ว่า เรานั่งกรรมฐานไม่ใช่เพื่อไปนิพพานอย่างเดียว แต่เราฝึกเพื่อให้เราเดินทางได้ถูกต้อง และทำให้เราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของเราเช่นกัน ไม่ใช่ผลดีทางธรรมอย่างเดียว ยังรวมถึงทางโลกเช่นกันครับ ^^
มาดู mudley เขาเขียนยังบ้างครับ ประวัติน่าสนใจทีเดียวเลยนะครับ และมีประโยชน์มากๆครับ ด้านล่างจะเป็นในส่วนที่ คุณ mudley ได้เล่าเรื่องราว รวมถึงประสบการณ์ที่น่าสนใจให้ฟังครับ
คงมีประโยชน์บ้างนะครับ ^^
boyles
มาตรฐานการฝึกซ้อมของเทรดเดอร์ในเฮดจ์ฟันประเภท Close fund ต่างๆ
ว่าจะมาต่อตอน 3 สักที แต่ไม่ได้ต่อ ต้องขออภัยหากไม่ได้ตอบ อีเมลล์นะครับ เพราะ เยอะจนผมงง ไม่รุ้จะตอบยังไง งวดนี้คงต้องเบาเนื้อหาลงหน่อย เพราะรุ้สึกจะมีน้องๆ ที่อยากจะเป็นเทรดเดอร์และฝึกฝนเมลล์เข้ามาเยอะเหลือ ประมาณว่า แหม พี่ เนื้อหาพี่มันยากเกินไปนะครับ ค่อยๆปูพื้นฐานให้พวกผมด้วย ประมาณอยากจะฝึกฝนแต่ไม่มีคนชี้แนวทางให้ในบ้านเรา 5555 โอเค ครับ น้อมรับ คำแนะนำครับ ก็ถูกอย่างที่น้องๆว่า อะไรที่พอจะเป็นประโยชน์แนวทางให้น้องๆและเพื่อนๆคนอื่นๆได้มากกว่าก็โอเคครับมาว่ากันเล้ย แต่อย่าดุพี่มากน้าพี่ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไร เขียนเนื้อหาในเฮดจ์ฟันมันเร็วดี เพราะ คุ้นเคย และปฏิบัติมา อิอิ J
หลายคนอยากจะเป็นเทรดเดอร์ ก่อนอื่น ต้อง Concept คร่าวๆ ระดับแรกของอาชีพนี้ก่อนนะครับ
คำว่า Trader นั้นใช้ในหลายๆวงการมาก ยกตัวอย่างเช่น Broker ก็จะเป็นผู้ที่รับคำสั่งซื้อขาย ซึ่งบางที่ เทรดเดอร์ก็มีอำนาจในการตัดสินใจซื้อขายด้วยเช่น proprietary trader ซึ่งตัดสินใจซื้อขายบนงบประมาณที่บริษัทมีให้ บางที่ก็รับแค่คำสั่งอย่างเดียวไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเป็นต้น
เส้นทางชีวิตของเทรดเดอร์นั้นช่วงเริ่มแรกค่อนข้างจะลำบากมาก และ มักจะมีผู้ถึงฝั่งฝันที่หวังไม่ถึง 10%ของจำนวนผู้เริ่มต้นตอนแรก (ตามสถิติของ Aima ) แต่ถ้า Trader นั้นมี โค้ช ดี โอกาสสำเร็จก็จะพุ่งขึ้นถึง 70% ในกลุ่ม Trader ที่มี โค้ช นี่เลยเป็นสาเหตุว่าทำไมที่อเมริกาหรือยุโรปจึงมีโค้ชสำหรับเทรดเดอร์ในการฝึกโดยเฉพาะ ถึงขนาดมีนักจิตวิทยา นักคณิตศาสตร์ และ นักวิทยาศาสตร์ เฉพาะกองทุนเฮดจ์ฟันกันเพื่อการนี้เลยทีเดียว
ผมค่อนข้างจะเข้าใจความรุ้สึกน้องๆหลายคนดี เพราะขนาดนักกีฬายังมีโค้ชเลย ถ้าไม่มีคนแนะนำพื้นฐานที่ถูกต้องย่อมทำให้เราหลงทางได้ และการวางพื้นฐานนั้นเป็นหัวใจสำคัญเสียด้วยสำหรับอนาคต หลายคนยังมีพื้นฐานไม่เพียงพอ แต่ก็กระโดดข้ามขั้น ไปจึงทำให้เส้นทางชีวิตเทรดเดอร์นั้นต้องยุติไปอย่างน่าเสียดายก็มีอยุ่มากมาย
เพื่อไม่ให้เสียเวลาเข้าเนื้อหากันดีกว่าครับ
ตัวอย่างแนวทางการฝึกเทรดเดอร์อาชีพ
1. ความอดทน ในการ ควบคุมตนเองและจิตใจ
เพราะขึ้นชื่อก็บออยู่แล้วว่าเทรดเดอร์ดังนั้นการจะต้องเจอราคาเคลื่อนไหว หน้าจอมายั่วยุ นั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นความอดทนในการควบคุมตนเองจึงถือเป็น Skill พื้นฐานที่สำคัญเลย เพราะหลายคนถ้าหลุด ตบะ แตกไปแล้ว มักจะพาให้ระบบเสียไปเป็นพรวน การควบคุมตนเองนั้นเราจะฝึกได้อย่างไรบ้าง
ขั้นแรกต้องฝึกควบคุมขัดขืนในสิ่งที่เราต้องการจะทำอยุ่เสมอแบบอดใจไม่ได้ เห็นเป็นต้องทำ ไม่งั้นจะลงแดงได้ เช่น ของ ผม สมัยอยู่อเมริกา เทรนเนอร์จะเห็นว่าเป็นคนที่ติดการ์ตูนรายสัปดาห์ กับ เกมส์ ค่อนข้างมากเมื่อก่อน โดนสั่งให้ต้องย้ายไปนอนรวมกับเทรดเดอร์คนอื่นที่ห้องพัก ซึ่งไม่มีทั้งเกมส์ทั้งการ์ตูน เน็ตก็ต่อไม่ได้ เมื่อคนเราต้องโดนควบคุมอะไรบางอย่างที่เราชอบทำจนเป็นนิสัยแล้ว แน่นอนต้องใช่พลังในการคอนโทรลตัวเองอย่างมาก ซึ่งถ้าผมทำไม่ได้ออกจากห้องของเพื่อนเทรดเดอร์อีกคนไปเมื่อไรก็จะโดนปรับวันล่ะ 50$ จำได้ว่าด้วยความ เสียนิสัยอย่างรุนแรงของผม ผมต้องจ่ายค่าปรับในเดือนแรกไปถึงราวๆ 1000$ ด้วยกัน!!!!!!! แน่นอนตอนสมัยนนั้นเงินผมก็ยังไม่ได้มากมายอะไรสำหรับที่อเมริกา แถมยังไปอยุ่ในตลาดเสียหมด ยิ่งทำให้สถานการณ์บีบคั้นลำบากขึ้นไปอีก ลำพังเงินเดือนจากการเทรนนิ่งก็น้อยอยุ่แล้ว ยิ่งทำให้ผมต้องไปหางานเสริมทำ( เพื่อนๆที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็จะบอกว่า โห…อะไรกันแค่เกมส์กับการ์ตูนเอง คือ ธรรมชาติของมนุษย์จะมีลักษณะนิสัยที่ชอบทำบางอย่างอยุ่อย่างมากโดยไม่รู้ตัว นักจิตวิทยาเค้าจะเรียกว่าอาการเสพติดความชอบ ซึ่งถ้าความชอบเหล่านั้นถ้าเป็นสิ่งที่ดีก็จะช่วยส่งเสริม ถ้าไม่ดีก็จะช่วยฉุดรั้งเราเอาไว้ ซึ่งในที่นี้เทรนเนอร์ไม่ได้หมายความว่า การ์ตูนกับเกมส์เป็นสิ่งที่ไม่ดีนะครับ เค้าเพียงจำลองให้เห็นว่าเกิดสมมุติมันกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องโดนทำโทษ ผมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อที่จะไม่ต้องรับโทษทัณฑ์เหล่านั้นไหวมั้ย แน่นอนช่วงแรกทำไม่ได้ คนเราจะยอมเจ็บตัวบางอย่างเพื่อให้ได้ตามใจที่มันเรียกร้องอยุ่ จนถึงจุดหนึ่งน่ะครับที่มันทำร้ายเรามากพอเราก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงและเข้าใจอย่างแท้จริง แล้วเราจะคอนโทรลความอยากของเราได้ )
2. การให้รางวัลเมื่อทำตามวินัยและแผนการ ด้วยตัวความอยาก
หลังจากตั้งใจเปลี่ยนกิจกรรมตัวเองเพื่อไม่ให้ถูกลงโทษ ทำตัวดีตามวินัยทุกอย่าง จำได้ว่ากลายเป็นนักpoker และฟิตวิชาการเพราะไม่มีอะไรให้ทำจนกลายเป็นนักคณิตศาตร์ไปเลย เทรนเนอร์ตัวแสบ ก็บอกทำได้ดีมากจะให้รางวัล เป็นเสาร์อาทิตย์กลับไปที่ห้องพักเล่นเกมส์ดูการ์ตูนได้ตามใจชอบ โอ้…ชีวิตมันโหดร้าย เพราะเหมือนคนที่เพิ่งเลิกยาเสพติดได้ โดนให้กลับไปเสพอีกเพื่อเป็นรางวัล นี่ถือเป็นความโหดร้ายอย่างมากต่อจิตใจของคนเรา เพราะนั่นทำให้ผมไม่สามารถที่จะตัดมันได้อย่างแน่แท้ภายในอนาคต เพราะผมก็คนปกติเหมือนกัน มีความชอบ ความอยาก และแน่นอนอย่างที่เทรดเดอร์มือใหม่คนนี้คาดการณ์ไว้ ตัวเองเริ่มกลับมาโดนปรับอีก เพราะการ์ตูนมันออกมาหลายตอนมาก ตามอ่านไม่หมด เพื่อนๆอ่านมาถึงตรงนี้ก็จะเห็นว่าจริงๆแล้วผมไม่ได้เป็นคนที่มีพรสวรรค์หรือเก่งอะไรเลย ผมก็เป็นเฉกเช่นคนทั่วไปเนี่ยหล่ะ การควบคุมตัวเองยังทำได้ไม่ดีด้วยซ้ำ เมื่ออาการมาถึงตรงนี้ร่างกายจะสร้าง Ego มหึมาขึ้นมาเพื่อปกป้องความเชื่อของตัวผมเอง เฮ้ย…เทรนไรเนี่ย ไร้สาระ อั๊วตอนนั้นแข่งหุ้นทั้ง 3เดือนได้ที่ 1 ตลอดนะเว้ย บริหารพอร์ตให้ฝรั่งก็ทำมาแล้ว อย่ามาทำไรไร้สาระแบบนี้ เห็นมั้ยครับ อัตราความโง่ของเด็กคนหนึ่งเริ่มบังเกิด นั่นหล่ะสงครามระหว่างเทรนเนอร์กับเทรดเดอร์โง่เขลาคนนี้ก็เริ่มเกิดขึ้น ผมก็ด้วยความอีโก้สูงมั่นใจในตัวเองแน่แท้แล้ว บอกโห ไร้สาระมากไม่เกี่ยวกับการเทรดหรอก เทรดเดอร์มันอยุ่อยุ่ที่ skill เทรด เทคนิคผมรู้หมด แต่พอเวลาผ่านไประหว่างที่ผมก่อกำแพงปิดกั้นอยุ่นั้น พอร์ตเทรดเดอร์คนอื่นก็แซงผมไปเรื่อยๆ จนผมอยุ่ที่โหล่ ผมหาสาเหตุไม่ได้ ผมไม่เข้าใจเลยทำไมกัน ผมศึกษาทุกรุปแบบของเทคนิคแล้วนะ จิตวิทยาผมก็เรียนรุ้มา Money Management ผมแบ่ง positions ได้ดีแล้วนี่นา ทำไมผมถึงต้องรั้งท้ายแบบน่าเกลียดด้วย (ช่วงนี้หล่ะครับจะอยุ่ที่ว่าคนผู้นั่นจะลืมตามองดูโลกที่แท้จริงได้เร็วแค่ไหน ผมคงได้เพื่อนดีด้วย เพื่อนรัสเซียขาหมากรุกฝรั่งที่ผมชอบเล่นกับเค้าประจำ บอกว่า ยูมันเก่งเกินไป คนเก่งมันเอาตัวรอดไม่ได้หรอก เพราะมันจะรู้ไปหมดทุกอย่าง ทำนั่นก็รู้ ทำนี่ก็รู้ สุดท้ายยูเลยไม่ได้รู้เลยว่าคนอย่างพวกไอเรียนรุ้อะไรกันบ้าง ทำไมยูไม่ลองโง่ดูบ้างล่ะ เมื่อก่อนยูก็โง่มาก่อนนี่นาถึงมาได้ขนาดนี้ แล้วไมตอนนี้ต้องจะฉลาดขึ้นซะงั้นล่ะ ) อ่า แทงใจ ย้อนอดีต เห็นถึงว่าตัวเองเมื่อก่อนเป็นอย่างไร ยุคสมัยแรกก็ติดหุ้นแล้วติดหุ้นอีก แอบเรียนวิชาจากเว็ปบอร์ดในพันทิพมาก่อน แล้วอะไรทำให้เราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เนี่ย ผมเลยเข้าใจเลยว่าบางทีคนเราเนี่ยสามารถลืมตัวได้ทุกคน และ ณ.จุดที่คนเราเริ่มลืมอะไรบางอย่างที่สำคัญเหล่านั้นไปเนี่ย อันตรายจะเริ่มมาเยือน ผมเห็นภาพการล่มสลายของหลายอาณาจักรที่ผู้ปกครองลืมตนหลังจากประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ทันที ผมนี่โง่กว่ามากเลยยังไม่ทันประสบความสำเร็จอะไร แค่ชัยชนะเล็กๆน้อยก็ลืมตัวเสียแล้ว เปรียบได้คงแม่ทัพชั้นปลายเถวคนนึงเลย ตอนอ่านสามก๊กก็ดั๊นไปวิจารณ์กวนอูว่าลืมตัว โห..นี่เรายังไม่ได้ชนะบ่อยเท่าเค้าก็ลืมตัวซะแล้ว เค้าเรียกอะไรน้า ถ่มน้ำลาย รดฟ้ามั้งเนอะ (โอเคหลังจากนั้นผม กลับมาเทรนต่ออีกครั้ง)
3. เปิดใจเรียนรู้ทุกศาสตร์ที่จำเป็นต่ออาชีพของเรา
หลังจากที่กลายเป็นคนที่ควบคุมความอยากความต้องการของเราได้แล้ว สิ่งที่ผมต้องเรียนรุ้ต่อ คือ เอาอีก เทรนเนอร์ ตัวแสบ ให้ผม list วิชาความรู้ที่ผมถนัดในการเทรดมาทั้งหมด ได้เอา list ไปเลย
- Technical Analysis
- Mathematics and Money Management for trader
- Risk Management
- Psychology
- Reflexivity Theory (ยังไม่วายเขียนไปแกล้งมาน)
- Macro Economic
หลังจากนั้นไม่อยากจะเชื่อสายตา ว่าผมจะต้องศึกษาพวก Valuation กับ เศรษฐศาสตร์ของ มาร์ก เฮ้ยนี่มันแกล้งกันหรอในใจคิดอีกแล้ว หนังสือ warren buffet -*- แล้วมีหนังสือของเบนจามินเกรเฮมอีก ซึ่งผมพยามจะหลบเลี่ยงมาโดยตลอด แล้ว มาร์ก นี่มัน คอมมิวนิสต์ไม่ใช่หรอ (เทรนเนอร์ผมบอกว่า เทรดเดอร์ ทุกคนนั้นจะมีสิ่งที่ถนัดและชอบกันอยุ่ทุกคน แต่ในความเป็นมืออาชีพแล้วทุกคนต้องสามารถปฏิบัติงานได้ทุกตำแหน่งตามแล้วแต่โค้ชจะสั่งซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดี แน่นอนความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของคุณนั้นจะได้ใช้อยุ่แล้ว เมื่อคุณจะออกไปมีกิจการหรือทำของตัวเอง ดังนั้นเป็นการดีที่คุณจะเปิดใจเรียนรู้ด้านอื่นๆในระหว่างนี้ไปด้วย ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใจความคิดของผู้คนทั้งหลายในตลาดได้ง่ายขึ้นด้วย) ตอนนั้นนึกในใจ ด้วยอีโก้ที่ยังค้างอยุ่บ้าง 55 ไม่ให้ตูศึกษาพวกข่าวตามช่อง cnbc ได้ด้วยเลยล๊า ข่าวลือด้วยมั้ย
โอ้มันไม่ใช่แค่ศึกษาแล้วมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงระบบการเทรดในพอร์ตที่ผมดูแล จะต้องซื้อขายด้วยหลักการvaluations เท่านั้น แล้วต้องส่ง report ว่าด้วยเหตุผลการซื้อขายอย่างละเอียด -*- เฮ้ย จบกัน จำได้ว่าช่วงนั้นผมลองผิดลองถูกจนจับหัวใจบางอย่างมาใช้ในการเทรดในตลาดหุ้นอเมริกาได้เลย คือ เราต้องเลือกบริษัทที่มี cash flow ที่แน่นอน และต้นทุนของบริษัทไม่ผันผวนมากนัก ดังนั้นหุ้นของผมเวลาฟื้นตัวจากราคาตกต่ำจะไปแรงกว่าคนอื่นเสมอ เพราะจริงๆแล้วระหว่างที่ปัจจัยจิตวิทยามากระทบต่อตลาดนั้น การดำเนินงานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปโดยนัยยะสำคัญเลย บริษัทยังเก็บกระแสเงินสดได้ตลอดเหมือนกับ kzmที่เก็บกระแสเงินได้ทุกวันยังไงอย่างนั้นเลย อ่อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เราไม่จำเป็นต้องเก็บส่วนต่างของราคาหุ้นในตอนแรกก็ได้ กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอที่บริษัททำได้ก็จะเปรียบเสมือนเช่นเดียวกัน หากบริษัทไม่มีต้นทุนที่ผันแปรมากนัก ดังนั้นเมื่อผมถูกส่งเข้าไปแข่ง nasdaq competitions โดยห้ามเทรดดิ้งแล้ว โอเค ผมก็เล็งหาบริษัทที่มีเรทผลตอบแทนจาก cash flow ไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ในช่วงที่ตลาดมีปัจจัยแย่มากๆ สุดท้ายผมจบลงด้วยที่ 15 จากเทรดเดอร์ทั้งหมด 370 คนมั้ง โดยแทบไม่ได้ซื้อขายเลย ระหว่างที่คนอื่นซื้อขายกันยิกๆ
4. เรียนรู้ระบบของผู้สร้าง
-จริงๆน่าจะอยู่ในหัวข้อที่ 3 แต่ผมแยกออกมาแล้วกัน มาร์ก เอามาทำไมเนี่ย มันคอมมิวนิสต์ไม่ใช่หรอ(เทรนเนอร์ผมบอกว่า คนเราเนี่ยจะโจมตีแนวคิดของคนอื่นได้แบบมีเหตุมีผลเนี่ย แสดงว่าคนนั้นต้องพยามศึกษาแนวคิดของคนที่ตัวเองมาไม่ชอบแล้วอย่างดี จนกระทั่งพบจุดบกพร่องบางอย่างของระบบนั้นๆ ดังนั้นเวลายูมองโลกเพื่อให้เห็นความเป็นจริงว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย ให้มองด้วยผลจากการกระทำของผู้คน ทำไมคนชนชั้นนายทุนพยามไม่ให้หนังสือเศรษฐศาสตร์ของมาร์กเผยแพร่หล่ะ เค้ากลัวอะไรอยู่ เวลาเรามองคนต้องมองให้ลึก เปรียบตัวอย่าง ศาสนจักรกลัวว่าตนเองจะเสื่อมอำนาจลงก็จับนักวิทยาศาสตร์ช่วงนั้นไปเผา เพราะกลัวว่าผู้คนจะเรียนรู้ความจริงแล้วตัวเองมาสร้างศรัทธาจากความกลัวของผู้คนในยุคนั้นไม่ได้เป็นต้น อำนาจของกลุ่มตัวเองก็ลดน้อยถอยลง เนี่ยหล่ะผู้คนยูจำเอาไว้เลย คนไม่เคยเปลี่ยน ทำอะไรเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองและกลุ่มเสมอ) ดังนั้นเมื่อผมศึกษาหนังสือของคาร์ลมาร์กซ์ผมก็พบว่าทุนนิยมนั้นมีจุดอ่อน โดยเฉพาะการเชื่อมตัวของมูลค่าตัวสินค้า นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาสินค้านั้นแปรเปลี่ยนได้ง่าย และจุดอ่อนเหล่านั้นหลายผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันชั้นแนวหน้าพยามบอกให้เราแก้ไขปรับปรุงอยุ่เสมอ แต่เพราะอะไรกันคนผู้มีอำนาจถึงยังเพิกเฉยกันอยู่ล่ะ ก็เพราะทุกครั้งที่เราเปลี่ยนรูปแบบหรือกฎกติกาขั้วอำนาจก็จะแปรเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่มีอำนาจจึงพยามรักษาสเถียรภาพของตัวเองไว้ให้นานที่สุด
สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานที่สำคัญที่น้องๆควรจะต้องฝึกไว้บ้างครับ จาก ตย เราจะมาประยุกต์ใช้กับเราอย่างไร
1.สร้างระบบเทรดที่เราคิดว่าเรามั่นใจในตัวระบบแล้วขึ้นมา ถ้าเราทำตามระบบได้แบบไม่มีอารมณ์เข้ามาเทรกได้ใน 1 เดือน ให้ ให้รางวัลด้วยตัวเองกับสิ่งที่เราชอบมาก ที่เรียกว่าขาดไม่ได้ หากเราทำตามระบบไม่ได้แล้วยังแอบไปทำสิ่งที่เราขาดไม่ได้อีก ก็ต้องหาบทลงโทษที่ให้เรารุ้สึกครับ เพราะน้องๆไม่มีคนมาคอยควบคุม ต้องรูว่าถ้าเราคุมตัวเองไม่ได้แล้วล่ะก็ โอกาสที่เราจะสร้างความได้เปรียบในวงการเทรดเนี่ยก็ยากขึ้นไปอีก เพราะเค้าวัดตรงการพลาด และการหลุดการควบคุม หลายๆกองทุนทำมาดีตลอดพลาดท่าหลุดไป 2-3 ครั้ง ถึงกลับทำให้ผู้จัดการกองทุน เสีย Self หลุดโลกทำเจ๊งไปเลยก็มีมาก ซึ่งถ้าเราทำตามระบบที่เราคิดเนี่ยเราจะได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยุ่ เราพลาดอะไรไปหรือปล่าว ที่ตัวระบบของเรา การปรับแก้ที่ถูกต้องก็จะเกิดขึ้น หากเราเสียเพราะไม่ทำตามระบบทำด้วยอารมณ์ก็จะทำให้เราแก้ไปไม่ตรงจุดเลย
2.พยามหาข้อได้เปรียบของระบบเกมส์การเงินให้ได้ ส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญของเทรดเดอร์ ทุกอย่างที่มนุษย์สร้างหรือกำหนดกฏเกณฑ์ขึ้นมามีจุดอ่อนเสมอ การหาจุดอ่อนไม่ใช่การไม่ทำตามกติกาหรือกฎหมายนะครับ เราต้องปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด ผมยกตัวอย่างหมากรุกแล้วกัน ถ้าเราจดจำรุปแบบหมากต่างๆได้หมด เราก็ได้เปรียบคนอื่นอย่างมากเป็นต้น ซึ่งหมากรุกเป็นตาราง 8*8 ยิ่งเราจำรุปแบบหมากกลต่างๆได้มากเท่าไรเราก็ต้องใช้ความคิดเพิ่มเติมน้อยลงไปเท่านั้น เช่นเดียวกัน ในตลาดหุ้นนั้น จำนวนหุ้นนั้นมีจำนวนจำกัด ไม่ได้พิมพ์กันออกมาทุกวัน ด้วยการคาดการปริมาณเงินหมุนเวียนที่มีในระบบ หรือ fund flow ที่สามารถซื้อหุ้นได้ เราก็จะรุ้ได้เลยว่าราคาขั้นต่ำมันจะอยุ่ราวๆไหนเป็นต้น ซึ่งหากเงินมันไหลออกนอกระบบไปมาก โอกาสที่ราคามันจะต่ำลงก็สูงขึ้นเพราะกำลังซื้อมันไม่พอ แต่ถ้าเงินไม่ไหลออกไป แต่มีเพิ่มเข้ามาด้วยปริมาณหุ้นเท่าเดิมโอกาสที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นก็มีมาก หลักการพื้นฐานนี้ใช้ได้เสมอในทุกตลาดทุนทั่วโลกรวมทั้งตลาดอย่างอเมริกาด้วย ทีนี้เราก็จะต้องแก้โจทย์ต่อไปเราจะรุ้ได้ไงว่าเค้าจะซื้อหรือไม่ซื้อ โอเคถ้าเป็นรายย่อยขายถือเงินเนี่ย โดยมากไม่นานก็ซื้อไม่เกิน 1 ปีหรอก บางคนถือเงินสด 2 สัปดาห์ก็ทนไม่ไหวแล้ว อำนาจการต่อรองราคาของรายย่อยเลยน้อยตาม เพราะต้องการที่จะนำเงินสดไปลงทุนหมุนเวียนต่อยอดอยุ่ตลอดเวลา เพราะทนถือเงินได้ไม่นาน แต่ถ้าเป็นฝรั่งเอาเงินออกไปเนี่ยโจทย์จะเปลี่ยนทันที เค้ามีตัวเลือกที่ดีกว่ามั้ย กำไรที่เค้าได้เค้าเอาไปกอดถือไว้เฉยๆลงทุนในพันธบัตรที่ดอกเบี้ยเพิ่งปรับขึ้นเพื่อรอต่อรองราคาก็สามารถทำได้เช่นกัน เป็นต้น หรือแม้แต่ในหุ้นที่เราสนใจเค้าซื้อขายเปลี่ยนมือกันที่ระดับราคาเท่าไรบ้าง ผมก็บันทึกเอาไว้หมดเป็นต้น เลยรุ้ว่าราคาที่ซื้อขายอยุ่ตรงไหนกันบ้าง ตรงไหนเป็นช่องว่างที่คนไม่ค่อยซื้อขายกัน โอกาสราคาจะสวิงในช่วงนั้นก็มีสูง เพราะไม่ค่อยมีต้นทุนจากผู้ถือหุ้นที่จะขายทำกำไรออกมาเป็นต้น
นอกจากขั้นพื้นฐานเหล่านี้แล้วพี่ยังแนะนำต่อไปอีกเพื่อที่เราจะได้พัฒนาได้ดีกว่าฝรั่ง
3.สมาธิ เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าน้องฝึกสมาธิทุกวัน จะส่งผลให้การทำงานของสมองเปลี่ยนไป ระบบการเรียนรู้และความเข้าใจของเราจะทำได้ดีขึ้น ซึ่งการทำสมาธิก็คือการปรับเปลี่ยนคลื่นสมองของมนุษย์เรานั่นเอง ทั้งยังส่งผลต่อระบบอารมณ์และการเข้าใจตนเองอย่างมากด้วย
4.หนังสือคู่มือเทรดเดอร์ที่ดีที่สุด ก็คือหนังสือ พุทธธรรม ของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เล่มใหญ่ ของ ท่านพระธรรมปิฏก ป.อ. ปยุตโต หลายคนสงสัยทำไมผมถึงชอบแนะนำหนังสือเล่มนี้ จริงๆหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่จะเรียกได้ว่าถอดเนื้อหาตามหลักที่สำคัญของพระไตรปิฏกมาหมดก็ว่าได้ เรียกได้ว่าพุทธรรม คือ หนังสือที่ว่าด้วย กฎความจริงของธรรมชาตินั่นเอง ดังนั้น มนุษย์ซึ่งเป็นซับเซ็ตของธรรมชาติ ก็ย่อมหลีกหนีกฎเกณฑ์ความจริงเหล่านี้ไม่พ้นเช่นกัน การที่เราเข้าใจความจริงของธรรมชาติ + สมาธิ แล้ว ย่อมสามารถทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาเจริญปัญญาและจิตใจจนถึงขั้นมากที่สุดเท่าที่ธรรมชาติจะมอบสิ่งนั้นให้เราได้ เพื่อที่ภายในอนาคตเราจะสามามารถช่วยเหลือผู้คนได้อีกมากมายในเส้นทางที่เราจะเลือกเดินไม่ว่าจะทางธรรม ทางโลก หรือ แม้แต่ทางสายวัตถุ หรือ จิตใจ ก็ตาม
5.ความรู้ความชำนาญและความจริง มาจากการปฏิบัติ 70% ความคิด 30% และอย่าเชื่อผู้เชี่ยวชาญในวงการมากนัก พยามดูว่าสิ่งที่เค้าสอนนั้นปฏิบัติแล้วใช้ได้จริงหรือไม่ แล้วดูคนเก่งๆว่าเค้าปฏิบัติอย่างไรอย่าดูที่เค้าพูด เพราะคำพูดมันสร้างสรรค์กันได้ บัฟเฟตเองก็ยังมี positions ในตราสารอนุพันธ์คิดเป็นมูลค่าแล้วราวๆ 40% ของ Profit sharing เลยทีเดียว แม้กระทั่งปรมาจารย์เทคนิคบางท่านของฝรั่ง แต่กลับไม่ลงทุนเองนำเงินจากการขายหนังสือไปลงทุนกับเฮดจ์ฟันจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้มันช่วยให้เรามองเห็นอะไรบางอย่างในโลกนี้มากขึ้นหรือไม่ เมื่อสายตาเรามองอย่างปราศจากอคติ เป็นต้นครับ
6.อย่าลืมตัวว่าเก่งแล้วรุ้แล้วเด็ดขาด (อันนี้สำคัญมาก อย่าเป็นเหมือนพี่) สมองของมนุษย์เนี่ยมันทำงานตามความเชื่อและความคิดของเรา มันเป็นโปรแกรมอัติโนมัติ โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะมันเป็นธรรมชาติของร่างกายที่มันออกแบบมาอย่างนั้น มันจะทำให้เราหยุดการเรียนรุ้และพัฒนาอย่างทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เทรดเดอร์หลายคนหยุดพัฒนาการลงไป ให้น้องๆพยามนึกถึงว่าเมื่อก่อนเราเป็นเช่นไร เราเรียนรุ้มาอย่างไร ถึงได้พัฒนาตัวเองได้ แน่นอนอาการลืมตัวจะค่อยๆหมดไปถ้าเราฝึกสมาธิได้ในระดับที่ดีมากๆแล้วเพราะเราจะเริ่มเรียนรุ้ความจริงของธรรมชาติเองว่าตัวเรานั้นเป็นอย่างไร แต่ก่อนที่เราจะมีสมาธิในระดับที่ดีแล้วก็ห้ามลืมกฏข้อนี้ครับ
เขียนมาเยอะเลยไม่ได้เรียบเรียงเขียนจากประสบการณ์และความเข้าใจจากไดอารี่ หวังว่าพอเป็นไอเดียและประโยชน์กับน้องๆเทรดเดอร์หน้าใหม่ในวงการได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ กว่าจะมาเขียน market modelคราวหน้า พี่ก็คงคิดว่าอีก 2-3 เดือนมั้งครับ แล้วเจอกันอีก 2-3 เดือนข้างหน้านะครับ
ปล. พี่อาจจะเขียนประสบการณ์ได้ไม่ครบถ้วนหรือครบถ้วนก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะว่า เอาแต่ส่วนเนื้อหาที่อยุ่ในไดอารี่ส่วนตัวมาเขียน เท่านั้น เนื่องจากพี่มีปัญหา Effect เกี่ยวกับระบบความทรงจำหลังจากการสะกดจิตที่อเมริกาและการกินยาบางอย่างเพื่อช่วยในการสะกดจิต ในระหว่างการเทรนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการเป็นเทรดเดอร์ และข้อเสียของมันทำให้ความทรงจำของพี่ ค่อยๆเริ่มเลือนหายไปหมดเลยเหมือนมันลบไปเองได้ ตอนนี้จำได้คร่าวๆถึงแค่ตอน ม.6 เลือนลาง ตอนมหาวิทยาลัยที่เพิ่งเข้าตลาดมาใหม่ๆก็เริ่มจะหายไปมากๆแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นการยืนยันอีกเสียงว่า วิธีสมาธิยังไงก็ดีกว่าวิธีของฝรั่งครับ J
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น