วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Double Dip Recession BDI และหุ้น ถึงเวลาที่ต้องระวังหรือยัง



















ตอนนี้ก็มีหลายความคิดเห็นว่าจะมีการเกิด double dip recession ในอเมริกาหรือเปล่า เดี๊ยวเราลองมาดูกันนะครับว่ามีใครคิดอย่างไรกันบ้าง สำหรับผมมีความคิดเห็นว่าจากค่า LEI ECRI ในอเมริกาแนวโน้มตัวเลขในช่วงเดือนหลังๆที่ประกาศออกมาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ดังนั้นโอกาสเกิดก็มีเช่นกัน แต่คงยังไม่เร็วมากนักเพราะ ตัวเลขที่ประกาศจะค่อยๆทะยอยออกมาเป็นเดือนๆ ถ้าแนวโน้มตัวเลขที่จะประกาศออกมายังคงไม่ดี double dip recession ก็คงไม่ไกลเกินไป ดังรูปใน http://set-financial-academy.blogspot.com/2010/06/lei.html

หลังจากดู LEI และ ECRI แล้วเรามาดู BDI กัน BDI คืออาไร
โดยการคำนวณดัชนี Baltic นั้นจะทำการหยั่งเสียงจาก Broker ของ Baltic เพื่อถามต้นทุนของคลังสินค้าและค่าขนส่งของ raw material ในทุกเส้นทางทั่วโลก โดยดัชนีจะนำการขนส่ง raw material เช่นสินแร่เหล็ก วัสดุก่อสร้าง ถ่านหิน หรือเมล็ดพืช มาคำนวณเท่านั้น ไม่นำการขนส่งสินค้าที่เป็น finish goods เข้ามาคำนวณในดัชนี และนำค่าระวางของเรือเทกองมาใช้ในการคำนวณเท่านั้น โดยดัชนี Baltic Index นั้นมีอยู่ 4 ดัชนี ซึ่งจำแนกด้วยขนาดของเรือ คือ

1. The Baltic Handymax Index (BHMI) นำค่าระวางเฉลี่ยบนเส้นทางเดินเรือหลักทั้งแบบ voyage และ time charter เฉพาะการเช่าเรือขนาด Handymax มาคำนวณดัชนี

2. The Baltic Panamaz Index (BPI) นำค่าระวางเฉลี่ยบนเส้นทางเดินเรือหลักทั้งแบบ voyage และ time charter เฉพาะการเช่าเรือขนาด Panamax มาคำนวณดัชนี

3. The Baltic Capesize Index (BCI) นำค่าระวางเฉลี่ยบนเส้นทางเดินเรือหลักทั้งแบบ voyage และ time charter เฉพาะการเช่าเรือขนาด Capesize มาคำนวณดัชนี

4. The Baltic Dry Index (BDI) ดัชนี BDI เป็นการคำนวณจากการเฉลี่ยจาก BHMI, BPI และ BCI ซึ่งเป็นดัชนีที่แสดงภาพรวมของค่าระวางของทุกขนาดของเรือนั่นเอง

บางสำนักก็ไม่นำ BDI มาวิเคราะห์ real economy นะครับหรือบางสำนักก็อาจจะดูค่าอื่นประกอบด้วย

BDI จะว่าไม่เกี่ยวเลยก็พูดได้ไม่เต็มปากนะครับ แต่คงขึ้นอยู่กับนำมาวิเคราะห์มากกว่าครับ ค่าระวางเรือที่ลดลงอาจจะมองได้ 2 ส่วน ส่วนแรกอาจจะมาจากการขนส่ง สินค้าทั่วโลกลดลงทำให้ราคาค่าระวางเรือลดลง อย่างที่สองคือในช่วงที่เศรษฐกิจ peak อาจจะมีการต่อเรือขึ้นมาเยอะมากทำให้หลังจากนั้น เมื่อเศรษฐกิจ down ลงมา ความต้องการใช้เรือไม่ได้มากเท่าเดิม แต่เรือเพิ่มขึ้น ค่าระวางเรือจึงตกลง

แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ตัวเลขค่าระวางเรือที่ลดลงมากมาย จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว และประเทศไทยที่พึ่งพาการส่งออกจะกระทบขนาดไหน จึงยังน่าเป็นห่วงจริงๆครับ ตัวเลขค่าระวางเรือ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมจึงแสดงว่าเศรษฐกิจยังไม่ได้ฟื้นจริงๆ โดยส่วนตัวผมก็ทำงานเกี่ยวกับส่งออก วัตถุดิบที่ส่งออกไปทางยุโรปลดลง 70 % จากตอนมัน peak มา 2 ปีแล้ว แล้วโน้มโน้มก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ที่ดีจะมาจากการส่งออกไปเอเชีย และจีนมากกว่าครับ

ที่ผมกังวลคงเป็นเรื่องของราคาหุ้นในบ้านเราที่ขึ้นมาอย่างมากมายครับ แต่ยังน่าแปลกใจที่ค่าระวางเรือมีแต่ดำดิ่งลงเหว เพราะประเทศเราพึ่งพาการส่งออกมาก นั้นจะหมายถึงตัวเลขการส่งออกที่จะประกาศต่อไปในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าจะแย่ลงหรือเปล่า ก็น่าคิดนะครับ ถ้าอิงจากทฤษฎีดาวน์ หุ้นกับหุ้นขนส่งต้องไปด้วยกัน ก็เลยมาเปรียบเทียบกับบ้านเรา น่าจะดูจากการส่งออก BDI ด้วยแนวโน้มนะครับก็น่าจะมีความสัมพันธ์กันทางนึง อย่างไรเล่นหุ้นช่วงนี้ก็ระวังกันสักหน่อยนะครับ

ต่อไปเรามาดูลุงโฉลกวิเคราะห์กันครับ ผมมองว่าน่าสนใจมากครับ โดยเฉพาะนโยบายการกู้เงิน มันช่วยได้จริงเหรอ หรือแค่ภาพลวงตาระยะสั้นครับ

รัฐบาลหน้าเหลี่ยมลูกหมากเน่า หลอกเราครั้งแรกโดยใช้นโยบายกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาล อ้างว่านำมาเพื่อเพิ่มการใช้จ่ายอันเป็นวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ตามความเป็นจริงก็เพื่อเอาเงินงบประมาณมาซื้อเสียงโดยใช้นโยบายประชานิยมเท่านั้นเอง วันนี้รัฐบาลหน้าหล่อ ก็ใช้นโยบายเดิม อ้างว่าต้องกู้ยืมเงินเพื่อเพิ่มรายจ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ตามความเป็นจริงก็เพื่อเอาเงินงบประมาณมาให้พรรคร่วม ทุจริตคดโกงชาติ นิทานหลอกเด็กนี้ทำให้เกิดการส่งเสริมธุรกิจทุกชนิด รวมทั้งที่ไม่ควรส่งเสริม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจแรกๆที่ได้รับการกระตุ้นให้เกิดความต้องการที่เกินความจริง เมื่อใดที่เศรษฐกิจกลับมาสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งหนึ่งก็จะเกิดภาวะฟองสบู่ของภาคอสังหาริมทรัพย์ขึ้นอีก ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะไม่สร้างความเสียหายให้เฉพาะลูกหนี้ของธนาคารเท่านั้น แต่เงินกู้ยืมปริมาณมหาศาลของภาครัฐจะเกิดปัญหาไม่สามารถใช้หนี้ได้ สิ่งที่จะตามมาคือตลาดพันธบัตรจะมีปัญหา ผู้ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลขาดทุนแน่นอน และผลเสียก็จะตามมาถึงตลาดหลักทรัพย์ด้วย

tale_2

Dow Jones Industrial Average มี Pattern ของ Wave 3-4-5 โดยเกิด Bearish convergence

tale_3

ใครก็ตามที่คิดว่าเศรษฐกิจของโลกพ้นจากภาวะ Recession แล้ว ควรคิดอีกครั้งหนึ่ง

Time scale ของ Corrective wave A-B-C ไม่สั้นอย่างนี้แน่นอนครับ

tale_4

เรากำลังจะได้เห็น Double Dip Recession

tale_5

S&P 500 ก็แสดง Pattern ชัดเจนว่าสิ่งที่จะตามมาคือ Double dip Recession ไม่ใช่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างยิ่งยืนตามที่รัฐบาลของโลก

(ที่เรียกตัวเองว่า) เสรี ทุนนิยมสามานย์ พยายามหลอกลวงประชาชน

tale_6

10-year Treasury notes ของอเมริกา แสดง Rule of 3 คือการทำ New High ครั้งที่ 3

ซึ่งมักจะตามมาด้วย Reversal to the down side และนั่นย่อมหมายถึงอัตราดอกเบี้ยที่จะเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน

tale_7

อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นแปลว่าตลาดหลักทรัพย์ราคาจะลดลง บัดนี้อัตราดอกเบี้ยเริ่มมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นทั่วโลกแล้ว ประเทศไทยของเราก็เช่นเดียวกัน ราคา SET Index ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ทำทีท่าจะเป็น Pivot reversal หรือเปล่า? สถานะการณ์ทางการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ รอวันปฏิวัติรัฐประหารทางใดทางหนึ่ง ภัยคุกคามจากอเมริกาที่ต้องการยึดครองบ่อ Gas และบ่อน้ำมันในอ่าวไทย โดยใช้อาวุธคือ ทุนและกฏหมาย ผ่านเขมรเป็นเครื่องมือคุกคามไทย ภัยคุกคามจาก Singapore ที่ใช้อาวุธคือ ทุนและกฏหมาย เช่นเดียวกัน เข้ามายึดครองธนาคารทุกธนาคาร และอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศ ทางออกของประเทศดูมืดมนธ์ ตลาดหลักทรัพย์เริ่มส่งสัญญาณอันตราย หวังว่าสมาชิกคงเตรียมพร้อมถ้ามีสัญญาณขายเกิดขึ้น

ลุงโฉลก


หวังว่าคงมีประโยชน์กับเพื่อนๆนะครับ

Boyles

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น