เราเคยเข้าใจว่าทองจะขึ้นตาม หนี้อเมริกาที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ย แต่ในปี 2013-2014 ความคิดนี้เป็นความคิดที่ผิดมากๆ เพราะในขณะที่อเมริกายังก่อหนี้ ทองกลับลงแรงมากเช่นกัน
ในอีกฝั่งก็มองว่า ทองไม่สามารถให้รายได้ หรือปันผลเหมือนหุ้น แถมยังมีต้นทุนในการถืออีก แต่เราก็ยังคิดว่าความคิดนี้ ก็ไม่ค่อยฉลาดนัก เพราะในช่วงเงินเฟ้อ หรือช่วงเศรษฐกิจถดถอย ทองให้ผลตอบแทน (capital gain) มากกว่าหุ้นหลายเท่านัก
ราคาทองมีความสัมพันธ์ กับเศรษฐกิจโลกที่ไม่รวม US vs การเติบโตของ GDP US และการคาดหวังของดอกเบี้ยในเมกา นั่นคือถ้าเศรษฐฏิจเมกาหรือค่าเงิน US มีความอ่อนแอมากเท่าไหร่ ทองและ silver จะยิ่งถีบตัวสูงมากขึ้นเท่านั้น
เราจึงสรุป 6 เหตุผลพื้นฐานที่เราให้ทองขึ้นหรือลงออกมาดังนี้
1. ทองและ silver วิ่งตามกันกับสินค้า commodities ตัวอื่น และการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ไม่นับรวมอเมริกา (non-US)ด้วยเหตุผลสองประการ
1.1 ต้นทุนในการทำทองสูง (Gold dredging, gold ore mining)
1.2 ปัจจัยจากความต้องการในตลาดจีน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมัน และทองแดง มีความสัมพันธ์กันตามภาพ
ในช่วงปี 2013-2014 ราคาทองแดง และราคาน้ำมันถูกกดดันจาก การเติบโตที่ช้าลงจากภาพอสังหาที่จีน อัตราดอกเบี้ยที่แพง และการไม่อนุญาตให้ซื้อบ้านหลังที่สอง ช่วยทำให้ลดความร้อนแรงของภาคอสังหาไป รวมถึงราคาน้ำมันที่ลงจาก ภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากอเมริกา และการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ นั่นทำให้ทองได้รับผลกระทบตามมาเช่นกัน
ราคาสินค้า Commodity และราคาน้ำมันที่ลดลง ส่งผลในทางลบกับทอง
2. ราคาทอง และ Silver มีความสัมพันะ์กับ Global money suplly และเงินเฟ้อ
ผลตอบแทนทองดีมาก จนกระทั่งปี 2011 ช่วงที่มีการเพิ่มเงินเข้าในตลาดโลก รวมถึงภาวะเงินเฟ้อในตลาดเกิดใหม่ Emerging market
อัตราเงินเฟ้อในตลาดเกิดใหม่ สินค้าราคาอาหารและน้ำมันสูงขึ้น นั่นทำให้เงินเฟ้อในประเทศเกิดใหม่จะมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วในช่วงปี 1998-2012 และเช่นกัน 2008-2009 ในช่วง crisis เงินเฟ้อลดลดก็ทำให้ทองและเงิน ราคาลงเช่นกัน
ต่อไปมาดูความสัมพัพธ์ของเงินเฟ่้อในอเมริกาและทอง
เงินเฟ้อในอเมริกาก็ยังเป็นปัจจัยหลักต่อราคาทองเช่นกัน
ในช่วงปี 2013-2014 จีนมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้น นโยบายการเงินที่เข้มงวดไม่ว่าจะเกิดที่จีน หรืออเมริกา ล้วนแล้วแต่เป็นผลลบต่อทอง
เราเชื่อว่า เงินเฟ้อในอเมริกาจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อไป จนกว่า ค่าจ้างในอเมริกาจะเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของเศรษฐฏิจอเมริกา และผลตอบแทนในระยะยาวเพิ่มสูงขึ้น เช่น การกู้ซื้อบ้าน เราเห็นด้วยที่ Fed member กล่าวไว้ว่า เงินเฟ้อในอเมริกาจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2% (fed fund target) ยาวนานกว่าที่คาดการณ์เอาไว้อีก
3. ราคาทองและ silver จะน่าดึงดูด เมื่อเศรษฐกิจ Non-Us ดูดีกว่าเมื่อเทียบกับ US
ทองมักจะขึ้นควบคู่ไปกับ การเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเกิดใหม่ และยุโรป และทองมักจะวิ่งคู่ไปกับค่าเงินยูโรเช่นกัน ปัจจุัยข้อที่สามเป็นปัจจัยที่สำคัญ
ในช่วงปี 2008 ที่เกิดวิกฤต Fed พิมพ์เงินเพื่อแก้ปัญหา ในช่วงปี 2009-2011 emerging market ยังคงเติบโต ในขณะที่อเมริกามีปัญหาจากราคาน้ำมันที่แพง และตลาดบ้านที่ส่งผลกระทบต่อตลาดอเมริกา เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดในปลายยุค 1970 ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจในอเมริกาใต้ และยุโรป ดีอย่างชัดเจน
เศรษฐกิจโลกเติบโต ทำให้น้ำมันแพงขึ้น และอเมริกาขาดดุลการค้า สิ่งเหล่านี้ส่งผลดีต่อทอง
เศรษฐกิจโลกเติบโต ทำให้น้ำมันแพงขึ้น และอเมริกาขาดดุลการค้า สิ่งเหล่านี้ส่งผลดีต่อทอง
ในขณะเดียวกัน ในช่วงปี 2011 การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างในจีน ทำให้จีนยากต่อการการแข่งขัน เงินส่วนเกินจากดุลการค้าเริ่มอ่อนแอ การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างในจีนนำไปสู่การ Peak ของทองในปี 2011 และในช่วงปี 2012 เศรษฐกิจอเมริกาก็เริ่มกลับมาแข็งแกร่งกว่า นั่นส่งผลด้านลบต่อราคาทอง
การลงทุน และภาคอสังหาที่แข็งแกร่งในอเมริกา มีแนวโน้มที่จะส่งผลลบต่อทอง เพราะความคาดหวังในเรื่องดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และนี้คือเหตุผลที่ราคาทองต่ำมากในช่วงปี 1999-2000 ดังนั้นนี้คือเหตุผลที่ว่า การเพิ่มของหนี้ในอเมริกา เบื้องต้นเลยส่งผลแย่ต่อราคาทอง เพราะสิ่งเหล่านี้ ทำให้ GDP US เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความคาดหวังดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงขึ้น
ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ หนี้อเมริกาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับราคาทองเลย เหมือนในช่วงปี 1982-2000 US public debt หนี้สาธารณอเมริกา
เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แต่ทองกับไม่ได้ขึ้นเลย
4. ราคาทองมีความสัมพันธ์กับธนาคารกลาง
หลาย 10 ปีหลัง ธนาคารกลางในยุโรป และ Emerging market เชื่อในการซื้อ US tresasuries หรือทองมากขึ้น
เหตุผลคือ ประเทศเหล่านี้ มีแนวโน้มที่ค่าจ้างจะสูงขึ้น เมื่อเทียบกับอเมริกา ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ค่าเงิน Europe or EM มีความเสี่ยงจะอ่อนค่า ดังนั้น การถือ US tresuries หรือทอง ทำให้ได้ประโยชน์สองต่อ ในขณะที่เงินเฟ้อ ธนาคารยังได้ประโยชน์จากการถือครอง US tresuries หรือทอง าจ้างที่เพิ่มขึ้นทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ค่าเงิน Europe or EM มีความเสี่ยงจะลดมูลค่า
หลังจากที่อเมริกาประกาศลอยตัวค่าเงิน us กับทอง ราคาทองก็เริ่มตกในช่วงทศวรรษที่ 1990 ตามภาพธนาคารทั่วโลกเริ่มขายทองมากขึ้น จากนโนบายของ IMF ที่ให้ธนาคารขายทอง และประเทศอย่าง UK และ Switzerland ก็ทำตาม
ในช่วงปี 2010-2012 ธนาคารกลางของประเทศ Emerging market ได้เพิ่มการถือครองทอง โดยจีนถือครอง 1.7% ของเงินสำรอง ตามมาด้วย india 10% บราซิล 0.5% ในขณะที่ ประเทศทางตะวันตกยังทำตามนโยบาย IMF คือไม่ซื้อทองอีกต่อไป
ในปี 2014 ธนาคารกลางในประเทศที่พัฒนาแล้วมีนโยบายในการลดค่าเงินตัวเอง ทั้ง ECB, SNB, BOJ, BOE เหมือนจะมีแค่ FED ที่พยายามจะขึ้นดอกเบี้ย สิ่งเหล่านี้ทำให้ค่าเงิน US แข็งค่า และทำให้ทองอ่อนค่าลง
5. ทองและ silver สูงขึ้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยของอเมริกาตกลง
ในปัจจุบัน เงินทุนของอเมริกา ยังเป็นส่วนสำคัญต่อการขึ้นลงในตลาดโลก ดังนั้นเมื่อพันธบัตรอเมริกาให้ผลตอบแทนที่ดี ราคาทองก็จะตก
แต่ก็จะมีบางสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยในอเมริกาสูงขึ้น ทองก็สามารถวิ่งขึ้นได้เช่นกันคือ
5.1 โดยปัจจัยการเติบโตของเศรษฐฏิจโลก และราคาสินค้า Commodities สูงขึ้น อย่างเช่นในปี 2005-2007
5.2 และปัจจัยอย่างในปี 1977-1980 ที่เงินเฟ้อปรับตัวเร็วมากกว่าอัตราดอกเบี้ยมากๆ
5.2 และปัจจัยอย่างในปี 1977-1980 ที่เงินเฟ้อปรับตัวเร็วมากกว่าอัตราดอกเบี้ยมากๆ
ทองจะราคาลงเมื่อตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดี เพราะนั่นคือโอกาสของ Fed Funds target ที่จะปรับตัวสูงขึ้น ถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นมามากแล้วก็ตาม ดังนั้นเมื่ออัตราการจ้างงานของอเมริกาเพิ่มขึ้น ทองและโลหะเงินก็มักจะปรับตัวลง
ค่าจ้าง(Wage) คือปัจจัยที่สำคัญต่ออัตราดอกเบี้ย และราคาทอง
ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 เงินเฟ้อสูงขึ้นมหาศาล ทำให้ ค่าข้างเพิ่มสูงขึ้น และน้ำมันก็ถีบตัวสูงขึ้น ทองวิ่งขึ้นพร้อมกับค่าจ้างและราคาน้ำมัน
ทำให้ Fed ในขณะนั้น Volcker ตัดสินใจที่จะขึ้นดอกเบี้ย เพื่อที่จะหยุดค่าจ้างที่เพิ่มสูงขึ้น และหยุดราคาน้ำมันและรายได้ของประเทศเกิดใหม่ให้ลดลง (ดอกเบี้ยแพงส่งผลต่อการลงทุนในต่างประเทศ) เศรษฐกิจโลกเริ่มสะดุด และท้ายที่สุด Fed สามารถควบคุมเงินเฟ้อได้อีกครั้ง และตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้น ดังนั้นเราสามารถบอกได้ว่า FED ทำลายราคาทอง
ดังนั้น เมื่อค่าจ้างสูง ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ทองมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น และในทางกลับกันค่าจ้างต่ำ เงินเฟ้อลดลง กำไรบริษัทอเมริกาสูงขึ้น เศรษฐกิจอเมริกาดีขึ้น ทองมีโอกาสปรับตัวลง
6. ทองและ โลหะเงินขึ้นตาม demand supply
เศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นในจีนและอินเดีย ทำให้เกิดความต้องการซื้อทองและโลหะเงิน อินเดียวมีอัตราการเก็บเงินอยู่ที่ 20% และทองก็เป็นส่วนนึงของเงินออม แต่โลหะเงินจะถูกใช้ในอุตสาหกรรมมากกว่า ดังนั้นความต้องซื้อโหละเงินในกลุ่มประเทศเกิดใหม่จะมีมากกว่าทอง ราคาโลหะเงินจะสะท้อน demand supply จริงๆมากกว่าทอง
จากประวัติศาสตร์ ในช่วงศตวรรษที่ 19 ยุคตื่นทองในแคริฟอเนีย ทำให้ทองในยุค 19 ราคาต่ำลง เมื่อเทียบกับโลหะทองที่ใช่ในอุตสาหรกรรมด้วย ที่มีราคาสูงขึ้น ดังนั้น ธนาคารกลางหลายประเทศเปลี่ยนจากการสำรองทองและโลหะเงิน เป็นสำรองทองอย่างเดียว จนเป็นที่มาของ Gold standard
สินค้า Commodities หลายตัวโดยเฉพาน้ำมัน ราคาจะสะท้อนอย่างมากเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของแหล่งผลิตน้ำมัน แต่สำหรับทองแล้ว เหมืองต่างๆ ไม่ได้ส่งผลต่อราคาทองมากมายเหมือน Commodities ตัวอื่นๆ
ที่มา http://snbchf.com/gold/gold-and-silver-prices/
Boyles Bigmove Club เรียบเรียง
Boyles Bigmove Club เรียบเรียง
ดดหasdf
a
ด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น